โรคอัลไซเมอร์



โรคอัลไซเมอร์ หลายคนรู้จักกันดีเพราะเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับสมองที่ถูกทำลายจนสูญเสียความทรงจำ ซึ่งจะพบได้มากกับผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอายุ 75 ปี ขึ้นไปไม่ว่าใครก็สามารถป่วยได้ ซึ่งสาเหตุของโรคนี้ไม่แน่ชัด แต่เป็นที่ระบบประสาทถดถอย หรือเสื่อมนั่นเองค่ะ
 
อาการเบื้องต้นมักจะค่อยเป็นค่อยไป จะสังเกตได้ยากแต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการผู้ป่วยจะเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทบต่อความทรงจำ ความคิด การใช้เหตุผล หลง ๆลืมๆ ไม่สามารถดูแลตนเองได้ ซึ่งอาการหลงๆ ลืมๆนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นตลอด ขึ้นๆ ลงๆ หงุดหงิด โมโหง่ายจนความจำเริ่มเลอะเลือนขึ้น ไม่รู้จักคู่ครอง รับประทานมั่วแม้แต่อุจจาระคือไม่สามารถควบคุมตนเองได้เลย
โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยอัลไซเมอร์ มักไม่ทราบขีดจำกัดของความสามารถที่ตนเองมีทั้งนั้น เพราะยังมองว่าตนเองสามารถทำอะไรหลายๆ อย่างได้อยู่ แต่ในระยะท้ายของผู้ป่วยอัลไซเมอร์จะเริ่มสับสน ร่างกายเริ่มทรุดโทรมลง ต้องนั่งหรือนอนเป็นประจำ จึงต้องพึ่งพาคนอื่นมากขึ้น ทางครอบครัวของผู้ป่วยจึงควรทำความเข้าใจกับโรคนี้และดูแลท่านให้ดีๆนะคะเพราะความเสื่อมโทรมร่างกายและการถดถอยในความทรงจำเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมชาติของชีวิตที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ

การรักษาโรคอัลไซเมอร์นั้นไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ช่วยชะลอการดำเนินไปของโรคได้ คือต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงความเครียด ฝึกฝนการใช้สมองเคยเห็นผู้เฒ่าผู้แก่สมัยก่อนไหมค่ะ ที่จะเล่นไพ่ตองกัน นั่นก็คือการพัฒนาสมองของพวกท่านอย่างหนึ่งค่ะ ด้วยการกระตุ้นให้ใช้ความคิด ฝึกการเชื่อมโยงเรื่องราว บวกลบเลข และหาสังคมเพื่อนฝูง เพื่อฟื้นความทรงจำ

แต่หากผู้ป่วยมีอาการมากขึ้น ต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดยใช้รักษาทางจิตสังคมเป็นการรักษาแบบไม่ใช้ยา เช่นใช้ศิลปะบำบัด ดนตรีบำบัด หรือนำกิจกรรมเรื่องราวในอดีตให้ลำลึก ให้ผู้ป่วยเล่าเหตุการณ์หรือรำลึกภาพถ่ายแต่ต้องให้เวลากับผู้ป่วยในการตอบคำถาม เพราะสมองได้รับความเสียหายทำให้เชื่องช้า ควรทำให้ผู้ป่วยคลายความกังวล โดยบอกเป็นขั้นตอนทีละลำดับอย่าช้า ๆเพื่อให้ผู้ป่วยทำตาม และให้ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ 

ส่วนการให้ยารักษาอาการความจำเสื่อมนั้น จะให้ยาพวก Donezpezil , Rivastigmin, Galantamine, และ Memantine ในการบำรุงสมองฟื้นความทรงจำ นอกจากนี้ครอบครัวควรให้ความใกล้ชิดดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ทำใจ ยอมรับ อดทน ไม่ทอดทิ้งให้อยู่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมอะไรก็ทำ เพราะความจำขาดหาย อาจหลงๆ ลืมๆ เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ง่าย และควรพาผู้ป่วยเข้าพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินอาการต่างๆ และติดตามการใช้ยา หรือกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ไม่ให้เกิดขึ้นค่ะ

ช็อกโกแลตซีสต์ โรคผู้หญิงต้องรู้


หลายคนอาจกำลังสงสัยว่าช็อกโตแลตชีสต์เป็นอย่างไร และเกี่ยวข้องกับผู้หญิงได้อย่างไรใช่ไหมค่ะ เพราะเจ้าโรคนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับมดลูกของผู้หญิงอย่างเราๆ โดยตรงเลยค่ะ เพราะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ มามากซะจนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยไปหลายผืน หรือมีประจำเดือนไหลออกมาเป็นประจำทุกวัน เพราะปกติประจำเดือนที่มาแต่ละเดือนนั้น จะมาเป็นช่วงๆ ไม่เกิน 7 วันแล้วจะหายไป แต่ดันมีประจำเดือนบางส่วนที่ไหลย้อนกลับเข้าผ่านทางหลอดมดลูก ไปในช่องท้อง ผ่านท่อรังไข่ และนำเซลล์ของเยื่อบุโพรงมดลูกเข้าไปด้วย ทำให้เกิดการฝังตัวกลายเป็นถุงน้ำ จนเกิดการสะสมเรื่อยๆ เลือดที่คั่งค้างจะเป็นสีน้ำตาลคล้ายช็อกโกแลต จึงทำให้เรียกกันว่า ช็อกโกแลตชีสต์ (Chocolate cyst) นั่นเองค่ะ

โดยเฉพาะรังไข่ เป็นบริเวณที่พบได้มาก เพราะมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงจึงเหมาะกับการเจริญเติบโตนั้นเองค่ะ แต่ถ้าเยื่อบุโพรงมดลูกทะลุแทรกไปยังกล้ามเนื้อมดลูก จะไม่เกี่ยวกับซีสต์แล้วคราวนี้แต่จะกลายเป็นพังผืดหรือก้อนในกล้ามเนื้อมดลูกแทน ซึ่งปกติแล้วเยื่อบุโพรงมดลูกจะลอกตัวออก ถุงน้ำที่ฝังตัวอยู่จะมีเลือดออกด้วย แต่พอเลือดประจำเดือนออกมาหมด ร่างกายจะดูดน้ำออกจากถุงกลับมา ทำให้เลือดในถุงเข้มข้นขึ้น หากเลือดค้างอยู่ในถุงน้ำนานๆ ก็จะกลายเป็นสีน้ำตาลหรือช็อกโกแลตชีสต์นั่นเองค่ะ

ซึ่งผู้หญิงที่เสี่ยงกับการเป็นโรคนี้คืออยู่ในครอบครัวที่มีประวัติเป็นช็อกโกแลตชีสต์ หรือมีประจำเดือนมาตั้งแต่อายุยังน้อย มีประจำเดือนออกมาน้อยวันสองวันก็หาย หรือเดือนหนึ่งมีประจำเดือนไหลออกมามากกว่า 2 ครั้ง และนานกว่า 7 วัน ล้วนมีความเสี่ยงในการเป็นโรคช็อกโกแลตชีสต์กันมาก ส่วนใหญ่ตำแหน่งที่พบจะเป็นในเยื่อบุช่อท้อง รังไข่ มดลูก อุ้งเชิงกราน ปีกมดลูก ซึ่งนิยมเป็นกันมาก

ส่วนอาการที่แสดงออกมาว่าเป็นช็อกโกแลตชีสต์นั่น คือจะปวดท้องเรื้อรังเมื่อมีประจำเดือน และจะปวดมากขึ้นๆ เดือน ตั้งแต่สะดือถึงอุ้งเชิงกราน และด้านหลังเอวไปถึงก้นกบ บางรายอาจเป็นลม ท้องอึด ท้องเสีย ปวดมากเวลาขับถ่าย เสียดในท้อง อุจจาระเป็นเลือด หรือมีอาการเจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ยังทำให้มีบุตรยาก เพราะท่อนำไข่ตีบตัน พังผืดรั้ง

การรักษานั้น หากมีถุงน้ำขนาดใหญ่ไม่มาก แพทย์จะให้ยาแก้ปวดต้านการอักเสบ หรือยาฮอร์โมนพวกยาคุมแบบฉีดหรือกินเพื่อช่วยในการปรับการทำงานของรังไข่ เพื่อทำให้ถุงน้ำเกิดการฝ่อตัวลงค่ะ แต่ถ้ามีถุงน้ำที่ใหญ่เกินแพทย์จะเลือกวิธีการผ่าตัดแทน ที่นิยมใช้คือการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องทางสูตินรีเวชนั่นเองค่ะ

โดยขั้นตอนการผ่าตัดแพทย์จะให้คนไข้ดมยาสลบ และจะผ่าตัดเจาะผนังหน้าท้องเพื่อใส่ก๊าซเข้าไปให้หน้าท้องขยายใหญ่ขึ้น แล้วเจาะผนังหน้าท้องเพิ่มอีก 2- 3 แผล เพื่อใส่เครื่องผ่าตัดชนิดพิเศษ เล็กเพียง 0.5-1 เซนติเมตรเองค่ะรวมกับกล่องขยายขนาดเข้าไป และทำการเลาะถุงน้ำที่เป็นช็อกโกแลตซีสต์ออก ซึ่งแพทย์จะมองเห็นผ่านจอภาพ และเมื่อทำการผ่าตัดเสร็จ แพทย์จำทำความสะอาดภายในมดลูก เลาะพังผืดบริเวณรอบๆ ถุงน้ำออก และเย็บแผลด้วยไหมละลายเพื่อปิดปากแผล คุณผู้หญิงจึงควรหมั่นดูแลและสังเกตความผิดปกติของร่างกายตนเองให้ดีๆ นะคะเพื่อป้องกันไม่ให้โรคลุลามกว่าเดิม และเกิดอันตรายเป็นมะเร็งร้ายฆ่าชีวิตค่ะ

เข้าใจโรคไอบีเอส ลำไส้แปรปรวน

 

คุณเคยมีอาการเหล่านี้หรือเปล่า จุก เสียด แน่นท้อง เรอหรือผายลมสลับกับท้องผูก ลองกินยาผิดๆ ถูกๆ แล้วก็ยังไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรกันแน่ ซึ่งหากคุณเคยมีอาการดังกล่าวข้างบนดังที่กล่าวมาเป็นสัญญาณเบื่องต้นของการเกิดโรค IBS หรือโรคลำไส้แปรปรวนแล้วค่ะ  เกิดจากการทำงานผิดปกติของลำไส้ กระเพาะอาหารกับลำไส้ทำงานไม่สมดุลกัน จึงมีปัญหากับระบบขับถ่าย ไม่ท้องผูกก็ท้องเสีย หรือเดี๋ยวท้องเสียสลับท้องผูกเลยก็มี บางรายมีอาการไม่ชัดเจนด้วย ซึ่งอาการเหล่านี้แน่นอนว่า สร้างความหงุดหงิดกับผู้เป็นไม่ใช่น้อย ยิ่งถ้าเป็นมานานราว 3 เดือนแล้วให้สันนิฐานได้เลยว่าเป็นโรคที่เกิดจาก IBS คุกคามแล้วแน่นอนค่ะ ส่วนสาเหตุที่เป็นยังไม่ทราบแน่ชัดนะคะ เพราะมีด้วยกันหลายสาเหตุ มีทั้งเกิดจากการเคลื่อนไหวทางเดินอาหารผิดปกติ หรือระบบประสาทรับรู้ผนังลำไส้ไวต่อสิ่งเร้า จึงทำให้ขับถ่ายบ่อยหรือขับถ่ายได้ง่าย แถมบางรายยังเกิดจากการอักเสบของเยื่อบุลำไส้ รวมถึงมีแบคทีเรียในลำไส้อีกด้วย

นอกจากนี้ยังรวมถึงพฤติกรรมการกิน หรือใช้ชีวิตประจำวัน ที่ทำให้เกิดโรค IBS เช่นชอบทานของเปรี้ยว มะขาม มะนาว หรืออาหารรสเผ็ดจัดจ้าน ลำไส้เกิดการปรับสภาพไม่ทันจึงทำให้เกิดการถ่ายของเหลว คล้ายๆ ท้องเสียนั่นเองค่ะ บางรายพบว่าเกิดจากภาวะเครียด วิตกกังวล สิ่งเหล่านี้ทำให้ลำไส้แปรปรวนได้ แต่โรคนี้ ไม่ใช่โรคที่หน้ากลัวหรือร้ายแรงอะไรนะคะ สามารถมีอายุขัยที่ยืนยาวได้ตามปกติ เพียงแต่สร้างความรำคาญในการใช้ชีวิตเพียงแค่นั้น เพราะเดี๋ยวเป็นเดี๋ยวหาย เดี๋ยวถ่าย เดี๋ยวเรอ เดี่ยวนอนไม่หลับ พาลให้หงุดหงิดส่งผลต่อสภาพจิตใจเป็นอย่างมาก

สำหรับผู้ที่ที่สงสัยหรือกำลังเป็นอยู่ ควรได้รับการวินิจฉัยโรคจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนะคะ จะได้ทำการรักษาได้อย่างถูกวิธี แม้ว่าโรค IBS จะไม่ใช่โรคติดต่อหรือร้ายแรงอันตรายถึงชีวิต เพราะยังมีโรคอื่น ๆที่คล้ายกับโรคลำไส้แปรปรวนซึ่งหากบ่อยไว้อาจเป็นอันตรายได้ ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อในทางเดินอาหาร ภาวะดูดซึมน้ำตาลแล็กโทสไม่สมบูรณ์ และน่ากลัวที่สุดอาจเป็นมะเร็งลำไส้ของทางเดินอาหารได้ ยิ่งหากคุณมีประวัติหรือสัญญาณผิดปกติดังต่อไปนี้ควรรีบพบแพทย์ทันทีนะคะ

เช่นมีน้ำหนักลดลงอย่างผิดปกติ อาการเริ่มรุนแรงขึ้น ถ่ายเป็นมูกเลือด ปวดท้องอย่างรุนแรง มีไข้ ครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งลำไส้หรือญาติสายตรง เข้ารีบเข้ามาปรึกษาแพทย์เพราะอาจไม่ใช่โรค IBS แต่อาจร้ายแรงกว่าก็ได้ค่ะ จึงไม่ควรนิ่งนอนใจหรือปล่อยอาการเหล่านี้อยู่กับตัวไว้นานๆ 

ส่วนการรักษานั้น หากมีอาการไม่มาก แพทย์จะแนะนำให้เปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองค่ะ เช่นให้รับประทานอาหารสด มีใยอาหาร ไม่ทานรสเผ็ด เปรี้ยวจนเกินไป เพราะจะทำให้ลำไส้ทำงานไม่สมดุล มีแก๊สในลำไส้อาหารได้ หรือให้หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สในลำไส้ เช่นของหมักของดอก กาแฟ กะหล่ำปลี เพราะจะทำให้ลำไส้ดูดซึมสารอาหารไม่หมด ไม่ให้ตกอยู่ในภาพเครียด ทำให้ลำไส้บีบตัวผิดปกติจนเกิดอาการปวดเกร็งท้องได้

สำหรับใครที่มีอาการรุนแรง ท้องเสียมาก ๆ หรือท้องผูกเรื้อรัง ถ้ามีอการปวดเกร็งท้อง แพทย์จะให้ยาลดอาการเกร็งหรืออาการท้องเสียจะให้ยาเพิ่มใยอาหารในลำไส้ เพื่อกันการบีบตัวของลำไส้ให้บีบตัวได้ลดลงค่ะ และเป็นการเพิ่มน้ำในลำไส้อีกด้วย เพียงปฏิบัติตัวตามคำสั่งแพทย์มาตามนัด เพราะโรคนี้ต้องรักษากันระยะยาว ไม่เครียด อาการจึงจะดีขึ้นค่ะ

โรคเก๊าต์และการรักษา


โรคเก๊าต์ หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าชื่อของคนจีนตั้งขึ้น แต่จริงๆ แล้วมาจากภาษาลาติน เพราะแพทย์วิทยาศาสตร์เรียกแบบภาษาอังกฤษว่า Gout จึงออกมาเป็นเสียงกว่า เก๊าต์นั่นเอง โรคนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับขาวเอเชีย เกิดจากกรดยูริกในเลือดมีปริมาณสูงมากเกินไป เกินกว่าที่จะสามารถอยู่ในเลือดในรูปสารละลายได้ จึงตกสะสมในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะในกระดูก เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง และไต  จึงทำให้เกิดข้ออักเสบ ตามศอก นิ้ว ตาตุ่ม เป็นก้อนเกิดขึ้น

อาการที่แสดงออก
ผู้ป่วยที่เป็นโรคเก๊าต์จะมีระยะเป็นๆ หายๆ ซ้ำๆ บริเวณเดิม ๆ ปีละ 1-2 ครั้ง ต่อมาจะเริ่มเป็นปีละ 4-5 ครั้ง ข้ออักเสบจะเพิ่มขึ้นจาก 1-2 ข้อเป็น 3-4 ข้อ จนเป็นต่อหลายๆ ข้อ จะมีอาการข้ออักเสบ บวม แดงร้อน และปวดมากตามข้อเจ็บปวดอยู่นาน 5-7 วัน อาการจะทุเลาเบาขึ้น เมื่อข้ออักเสบที่เกิดขึ้นใหม่จะมีอาการประมาณนี้ จนกระทั้งเป็นมากขึ้น มีการอักเสบของข้อมากขึ้นและรุนแรงขึ้นจึงเกิดปุ่มก้อนของกรดยูริคในเลือดสูงยิ่งสะสมปริมาณมากขึ้นจะเกิดภาวะไตวายได้ค่ะ

โรคเก๊าต์มักเกิดกับผู้ชายในวัยประมาณ 40 ปี แต่ถ้าเกิดในผู้หญิงมักจะพบในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนแล้ว ส่วนอาหารที่มีกรดยูริกมาก มีส่วนในการกระตุ้นให้เกิดโรคเก๊าท์ คืออาหารจำพวกสัตว์ปีก ปลาอินทรีย์ ถั่วแดง ถั่วดำ ผักชะอม เครื่องในสัตว์ตับ ตับอ้อน หัวใจ สมอง เซ่งจี๊ และยอดผักของพืชทุกชนิด ซึ่งส่วนใหญ่โรคเก๊าต์นั้นเกิดขึ้นกับพฤติกรรมการกินของมนุษย์อย่างเราๆ นั่นเองค่ะ

ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคเก๊าต์ ต้องระมัดระวังอย่าให้เก๊าท์กำเริบอีก คือหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริกสูง โดยเฉพาะพวกเหล้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ควรหลีกเลี่ยง เพราะจะกระตุ้นให้กรดยูริกในเลือดสูงได้ ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายเราจะได้กรดยูริกมาจาก 2 แหล่งคือ 
1.       ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง โดยการสลายตัวของเซลล์อวัยวะต่างๆ  แต่บางคนที่ป่วยเป็นโรค ธาลัสซีเมีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว จะมีการสลายตัวของเซลล์ในร่างกายผิดปกติไปด้วย
2.       รับจากการกินอาหาร เช่นเนื้อไก่ เครื่องในสัตว์ รวมถึงถั่วชนิดต่างๆ

วิธีการรักษา
แพทย์จะทำการตรวจหากพบว่าเป็นโรคเก๊าต์ จะให้ยาแก้อักเสบ หรือยาโคลซิซินเพื่อลดอาการปวดข้อและอักเสบ แต่มีผลข้างเคียงอาจทำให้ท้องเสีย ส่วนการรักษาระยะยาว ใช้ยาลดกรดยูริกในเลือด เช่นยาอัลโลพูรินอล กินวันละครั้ง ควรกินอย่างต่อเนื่องนานอย่างน้อย 3-5 ปี หากกินๆ หยุดๆ อาจทำให้แพ้ยาได้ง่าย หรือมีผื่นผิวหนังชนิดรุนแรงเกิดขึ้นกับร่างกายได้ค่ะ ที่สำคัญควรงดการนวดและห้ามนวดเด็ดขาดถ้าผู้ป่วยเป็นโรคเก๊าต์อยู่ในระยะข้ออักเสบเพราะจะทำให้อักเสบรุ่นแรงหายช้าได้นะคะ

รู้เท่าทันโรคหัวใจ

 
คนในยุคปัจจุบันต้องจมอยู่กับสังคมที่เร่งรีบ การทำงานที่แออัดจึงทำให้เกิดความเครียด และกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารฟาสต์ฟู้ดที่อุดมไปด้วยไขมันและเกลือ ทำให้เสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ง่าย เพราะหัวใจคนเรานั้นมี 4 ห้อง แบ่งเป็นซ้าย ขวา โดยจะมีผนังกล้ามเนื้อหัวใจ และยังแบ่งเป็นห้องบน ห้องล่าง และมีลิ้นหัวใจประกอบด้วย ซึ่งปกติหัวใจคนเรานั้นจะเต้นประมาณ 100,000 ครั้ง เพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายให้ได้ 2000 แกลอนในแต่ละวัน แต่ถ้าวันหนึ่งหัวใจเกิดทำงานผิดปกติ จะทำให้ร่างกายทรุดจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งปกติแล้วโรคหัวใจจะแบ่งได้ดังนี้

1.       ชนิดแบบเฉียบพลัน
ผู้ป่วยจะรู้สึกเหนื่อยง่ายเวลาออกกำลังกาย เพราะหัวใจต้องสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งคนปกติเมื่อออกกำลังกายไประดับหนึ่งจะรู้สึกเหนื่อยเช่นกัน แต่คนที่เป็นโรคหัวใจ จะรู้สึกเหนื่อยมาก แม้ออกกำลังกายเพียงนิดเดียว ก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยมากผิดปกติกว่าที่เคยเป็น และยังมีอาการเจ็บหน้าอกแน่นหน้าอกร่วมด้วย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคหัวใจตีบ มีไขมันอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ จะรู้สึกแน่นเหมือนมีของหนักทับอยู่

แต่ถ้ารายที่อยู่ในภาวะหัวใจล้มเหลว หัวใจจะไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลียงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ เหนื่อยทั้งที่นั่งอยู่เฉยๆ หรือมีอาการหอบต้องเข้าพบแพทย์ทันทีนะคะ อาจเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ค่ะเพราะผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจนี้ หัวใจจะเต้นผิดจังหวะ จากทีเคยเต้น 60-100 ครั้ง / นาที อาจขยับไปถึง 150-250 ครั้ง / นาทีเลยทีเดียว ซึ่งจะทำให้เหนื่อยง่าย และหายใจไม่ทันนั่นเองค่ะ

นอกจากนี้ยังมีบางรายที่หมดสติ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เพราะเซลล์ที่ทำหน้าที่ให้จังหวะหัวใจเสื่อมสภาพ ทำให้หัวใจเต้นช้าลง และหากส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ อาจทำให้หมดสติล้มทั้งยืนได้ 

2.       เกิดจากอาการผิดปกติจากร่างกาย
ร่างกายจะส่งสัญญาณกระพริบเตือนให้เรารู้ได้ว่า ร่างกายเริ่มมีปัญหาแล้วนะอาจเกิดโรคหัวใจได้ ถ้าขาหรือเท้าบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ มีรอยบุ๋มหากลองกดลงไปยังผิว หรือปลายมือปลายเท้ามีสีเขียว แสดงถึงการเดินของเลือดในหัวใจห้องขวากับห้องซ้าย เชื่อมต่อผิดปกติ ทำให้เลือดแดงกับเลือดดำผสมกัน จึงทำให้ออกซิเจนในเลือดมีปริมาณน้อยซึ่งสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ และกังวลกับการป่วยเป็นโรคหัวใจ สามารถป้องกันโรคหัวใจได้ดังนี้


  • ลองสังเกตอาการผิดปกติของตัวเองดูนะคะว่ามีอาการเจ็บหน้าอกใจสั้นหรือเปล่า เพราะอาจเปิดอาการผิดปกติที่เกิดโรคหัวใจเฉียบพลันขึ้นได้ค่ะ
  • ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงหัวใจได้ง่าย
  • ไม่ปล่อยให้ตัวเองอยู่ในภาวะเครียด ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ให้ดีๆ เพราะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้หัวใจเต้นแรงทำงานหนักขึ้นค่ะ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผักและผลไม้ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดความดันโลหิตสูงหัวใจตีบได้ง่ายค่ะ
  • และควรตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อป้องกันโรคร้ายที่อาจคาดไม่ถึงและเกิดขึ้นกับชีวิตคุณได้ค่ะ


และที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือความรู้เบื้องต้นของโรคหัวใจนะคะ เพราะการที่หัวใจต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันได้นอนพักผ่อนเหมือนร่างกาย อย่างไรซะเราจึงควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพื่อที่จะมีหัวใจไว้อยู่กับคนที่เรารักได้นานๆ ค่ะ

โรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้า เป็นโรคที่คุ้นหู จากคำเล่าลือว่าเกิดจากอาการเครียด ความรู้สึกที่เกิดจากความผิดหวัง หรือการสูญเสีย และมีแนวโน้มโอกาสคิดสั้นฆ่าตัวตายอีกด้วย ถือเป็นโรคยอดฮิตที่หลายคนอาจเป็นแต่ไม่รู้ตัวเลยนะคะ แถมโรคนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน เมื่อต้องพบกับความล้มเหลว ไม่ได้ดังใจ การพลัดพรากจากคนรัก ทำให้เกิดอาการซึมเศร้าขึ้นได้ค่ะ


ซึ่งจะต่างจากภาวะซึมเศร้า ตรงที่อารมณ์ซึมเศร้านานต่อเนื่องถึง 2 สัปดาห์ ไม่มีความสนใจในกิจกรรมอื่นๆ เลย แต่ภาวะซึมเศร้านั้น เมื่อมีเหตุอะไรมากระทบให้เสียใจ หวั่นไหว จะรู้สึกเจ็บปวด เศร้า แต่ไม่นานจะปรับตัวได้จนเข้าสู่ภาวะปกติได้ค่ะ  ซึ่งสัญญาณเตือนว่ากำลังเข้าข่ายโรคซึมเศร้ามีดังนี้

-           รู้สึกผิดหวัง รู้สึกเหงาเมื่อถูกถอดทิ้ง ไม่มีคนเข้าใจ ไม่มีคนคอยช่วยเหลือและหมดกำลังใจ
-           รู้สึกอยากได้รับความสนใจจากคนรอบข้างหรือเพื่อนร่วมงาน
-           หมดพลัง ขาดความเชื่อมั่น และมั่นใจในตนเอง
-           เบื่อหน่ายชีวิต รู้สึกตนเองไร้ค่าไม่อยากมีชีวิตอยู่
-           ท้อถอย รู้สึกผิดเสมอ โทษตนเองอยู่ตลอดเวลา
-           นอนไม่หลับหรือหลับตลอดเวลา
-           ขาดสมาธิหลงลืมง่าย เบื่ออาหารหรือกินตลอดเวลา
-           หงุดหงิด โกรธง่าย น้อยใจง่าย
-           แยกตัวไม่อยากพบผู้คน มีความคิดอยากฆ่าตัวตายบ่อยๆ

ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคซึมเศร้า 5-7% ของประชากรเลยทีเดียว โรคนี้สามารถรักษาให้หายได้ แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี อาจทำให้ต้องหย่าร้าง ออกจากงาน หรือฆ่าตัวตายเลยทีเดียว 

ส่วนปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้านั้น พบว่าพันธุกรรม มีส่วนข้อนข้างสูงในการทำให้เกิดโรคซึมเศร้าค่ะ หรือหากมีสิ่งใดมากระตุ้นให้เกิดความเครียด หรือสารเคมีพวกสารสีโรโทนิน นอร์เอปิเนพริม และโดปามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทในสมองทำให้เกิดโรคซึมเศร้าได้ค่ะ นอกจากนี้ยังรวมถึงความเครียด การสูญเสียต่างๆ โรคทางกายที่เป็นไม่ว่าอัมพาต โรคหัวใจทำให้เกิดภาวะเครียด และหากปล่อยไว้นานไม่รักษาและยังปรับสภาพจิตใจไม่ได้จะทำให้เกิดโรคซึมเศร้าจนถึงอยากฆ่าตัวตายได้ค่ะ ซึ่งระดับของอาการซึมเศร้านั้นมี 3 ระดับคะ

1.    ระดับบางเบา คืออาจเกิดขึ้นรบกวนการทำงาน การเรียน การนอนบ้าง แต่เกิดเป็นบางครั้งแล้วหายไป ไม่ได้เกิดบ่อยๆ
2.    รุนแรงเรื้อรัง จะทำให้สูบเสียความสามารถในการทำงาน มีความรู้สึกที่ไม่ดีขึ้น
3.    รุนแรงเฉียบพลัน คือมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงเร็วมาก เช่นพูดมาก กระฉับกระเฉงมากเกินเหตุ มีพลังเหลือเฟือ มีผลกระทบต่อความคิด การตัดสินใจ ผู้ป่วยอาจหลงผิด หายไม่ได้รับการรักษาจะกลายเป็นโรคจิตเอาได้ค่ะ

การรักษาโรคซึมเศร้า
1.       ยา เพื่อช่วยปรับสื่อประสาทสมองให้สมดุล
2.       ทำจิตบำบัดให้คนไข้ ถ้ามีปัญหาด้านการควบคุมอารมณ์ก็แก้ที่การควบคุมอารมณ์
3.          สังคม บำบัดฟื้นฟูให้คนไข้มีกิจกรรมทำหลังจากไปเรียน ไปทำงาน เพื่อฟื้นฟูให้กลับมาเป็นปกติได้ไว  เมื่อเทียบกับคนกินยาแต่เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ยอมสุงสิงกับใครเลยนะคะ ส่วนใหญ่ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้านี้นั้นมักเริ่มเป็นตอนอายุ 25 ปี และอาจเป็นไปในระยะยาว ต้องเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ไม่ต่างอะไรกับโรคเบาหวาน ความดันเลยค่ะ เพราะต้องทานยาควบคุมไม่ให้อาการกำเริบขึ้นมาอีก

แต่หากทานยาจนครบแล้ว หมอจะให้หยุดยาแล้วเฝ้าสังเกตดูอาการ เพราะอาจจะกลับมาเป็นซ้ำได้ เหมือนกับโรคมะเร็ง ที่ฆ่าเชื้อไปหมดแล้ว แต่ต้องเฝ้าดูอาการว่าจะกลับมาเป็นซ้ำอีกหรือเปล่า ดังนั้นโรคนี้จึงต้องสังเกตดูอาการบ่อยๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาค่ะ

อยู่ให้เป็น เมื่อเป็นไมเกรน



ใครๆ ต่างต้องการมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงทั้งนั้น แต่โรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตของคนเราได้ เพราะสภาพร่างกายก็เหมือนรถยนต์ คือมีวันเสื่อมสภาพตามกาลเวลา และยิ่งไม่ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี อาการป่วยทรุดกว่าเวลาอันควรอาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งปกติแล้วอาการปวดหัวเป็นไข้ตัวร้อน อาจเกิดขึ้นกับทุกคนได้เช่นกันค่ะ แต่ถ้าปวดแบบจี๊ด ตึบเรื้อรังเดี๋ยวเป็นเดี๋ยวหาย จะสร้างปัญหาด้านจิตใจ และการใช้ชีวิตไม่ใช่น้อย

โดยเฉพาะอาการปวดขมับ มึน งง ปวดรามมาถึงเบ้าตา บางคราวอาเจียน หรือที่รู้จักกันในชื่อไมเกรน หรือลมตะกัง สร้างความทุกข์ทรมานไม่ใช่น้อย เพราะจะมีอาการปวดเกร็งตัวบริเวณบ่า ต้นคอ เพราะเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ หรือไปเลี้ยงสองทั้งสองซีกไม่เท่ากัน จึงทำให้เกิดการปวดศีรษะข้างเดียวขึ้น

โรคนี้จะมีอาการกำเริบเป็นครั้งคราว ยิ่งโดนกระตุ้นด้วยแสงแดด เสียงดัง กลิ่นควันบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรืออาการอดนอน อิ่ม จัด หิวจัด มีไข้ รวมถึงมีความเครียด จะกระตุ้นให้อาการปวดกำเริบขึ้น บางรายจะมีอาการเตือนก่อนปวด เช่นมีตาพร่า ตาลาย เห็นแสงสีรุ้ง เห็นดวงขาวๆ นำร่องมาก่อนแล้วจะหายไปจึงค่อยเริ่มอาการปวดขึ้นมาอีก

การรักษาไมเกรน
ควรทานยาบรรเทาปวดทันทีที่มีอาการไม่ปล่อยให้ปวดนานเกิน 30 นาที และควรพักผ่อนให้เต็มที่หลีกเลี่ยงอากาศอบอ้าว เสียงดังจัด และหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้อาการกำเริบ ลองสังเกตพฤติกรรมตัวเองดูนะคะว่าอาการปวดหัวนี้มักเป็นในช่วงแบบไหน เช่น เสียงดัง หรืออดนอน ถ้าหาเหตุกระตุ้นที่ทำให้อาการกำเริบเจอ จะได้หลีกเลี่ยงไม่เข้าไปใกล้สิ่งกระตุ้นเหล่านั้นค่ะ

เพราะหากเลือกหยุดอาการปวดไมเกรนด้วยการรับประทานยาบ่อยๆ อาจมีผลข้างเคียงกับกระเพาะอาหาร ตับ และไตได้ และหากเลือกใช้ยาระงับอาการปวดไปเรื่อยๆ อาจมีผลต่อตับทำให้ภูมิในร่างกายลดลง ทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาได้
ลองเปลี่ยนการรักษาเป็นการกดที่จุดเจ็บดีกว่าค่ะ เป็นการรักษาอาการที่ต้นเหตุ เพราะกล้ามเนื้อส่วนนี้หดตัวถ้าปล่อยไว้นานจนกล้ามส่วนนี้เกิดพังผืดเป็นวงกว้างและหนาขึ้น จะทำให้ต้องพึ่งยาแก้ปวดไมเกรนตลอด และอาการปวดไมเกรนจะหนักมากขึ้น

โดยกดลงบริเวณบ่าเพื่อคล้ายกล้ามเนื้อ กดกล้ามเนื้อที่แข็งนูนให้มีลักษณะนิ่มลงและเล็กลง และมาเน้นตรงศีรษะด้านบนตรงขมับ กดค้างไว้ลึก 10 วินาที แล้วปล่อยทำหลายๆ ครั้งจะหยุดได้แบบฉับพลัน แม้ว่าอาการนั้นจะลามมาปวดถึงบริเวณเบ้าตาก็ตาม

นอกจากนี้ลองหาที่แปะถุงเจลแช่เย็นมาแปะบริเวณหน้าผากเบ้าตา หรือรีบเข้านอนเร็วๆ เพื่อไม่ให้อาการกำเริบ ซึ่งเป็นวิธีรักษาแบบไม่พึ่งยา ซึ่งเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ เพราะจริงๆ แล้วนั้นโรคไมเกรนไม่ได้เกิดขึ้นในวัยเด็ก หรือถ่ายทอดทางพันธุกรรม ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกต่างๆ เช่น

อาหารที่กระตุ้นให้เกิดไมเกรน เช่น นม วัย เนย ช็อกโกแลต ไวน์ เบียร์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ ฯลฯ หรือช่วงที่เป็นประจำเดือนเพราะระดับฮอร์โมนเปลี่ยน รวมถึงสภาพร่างกาย อดหลับอดนอน เครียดทำงานหนัก อยู่หน้าจอคอมนานๆ ออกกำลังกายมากเกิน หรืออยู่ในสภาวะแวดล้อม แบบร้อนจัดไปเป็นหนาวจัด กลิ่นบุหรี่ กลิ่นน้ำหอม รวมถึงการใช้ยาและสารเคมีบางชนิดกระตุ้นให้ปวดหัว พวกยาไซนัส ยาอักเสบ ยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก

จะเห็นได้ว่าปัญหาไมเกรนส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมที่ผิดไปจากธรรมชาติ และเกิดจากสภาวะแวดล้อม ดังนั้น สำหรับคนที่อยากมีสุขภาพดีแล้วควรให้ความเอาใจใส่กับสุขภาพตนเอง พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด และไม่เข้าไปอยู่ในปัจจัยเสี่ยง แต่หลายคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมคนยุคนี้เปลี่ยนไป ทำให้ปวดหัวไมเกรนบ่อยๆ บางคนเลือกหาวิธีธรรมชาติบำบัด ดื่มน้ำสะอาดเพื่อปัสสาวะบำบัด ฝังเข็ม ดีท็อกซ์ ล้างพิษตับ นั่งสมาธิฯลฯ อย่างไรซะก็ถือว่าเป็นการดูแลสุขภาพตนเอง แต่ควรดูแลอย่างสม่ำเสมอนะคะเพื่อที่อาการจะได้ไม่กำเริบกลับขึ้นมาอีก

อาการผิดปกติของตา โรคตาแดง



โรคตาแดงเป็นอีกหนึ่งโรคใกล้ตัวเรามากๆ และพบได้บ่อย ๆ ซึ่งเกือบทุกคนต้องสัมผัสกับโรคนี้มาบ้างแล้ว ซึ่งโรคตาแดงนี้มักจะระบาดมากในช่วงฤดูฝน
เพราะมีความชื่นแฉะ ทำให้ไวรัสเจริญงอกงามก่อโรคแก่ตาของเราได้ ส่วนใหญ่โรคตาแดงเกิดจากการอักเสบของเยื่อบุตาขาว อาจเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้มีแบบเป็นเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง อาการทั่วไปน้ำตาจะไหลมีขี้ตา ตาขาวบวม ซึ่งปกติแล้วจะแบ่งตาแดง เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ

1.       ตาแดงจากเชื้อไวรัส ซึ่งมีไวรัสหลายชนิด ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อที่ชื่อว่า อะดิโนไวรัส ส่วนน้อยเกิดจากพิโคร์นาไวรัส อาการโรคคล้ายๆ กัน รวมถึงเชื้อไวรัสที่ชอบระบาดตามหมู่บ้าน โรงเรียน โรงงาน ส่วนใหญ่เกิดจากการสัมผัสถูกข้าวของเครื่องใช้ของผู้ป่วย ซึ่งอาการที่แสดงมาคือตาจะแดง บวม ไม่ค่อยมีขี้ตา และน้ำตาจะไหลและเคือง และจะลามไปตาอีกข้าง พบได้ทุกเพศทุกวัย มักหายได้ใน 2 สัปดาห์
 
2.       ตาแดงเชื้อแบคทีเรีย เยื่อบุตาที่เกิดจากการติดเชื้อ S.epidermidis, S.aureus ทำให้ตาอักเสบ มีขี้ตาออกมาเป็นสีเขียวหรือสีเหลือง อาจเป็นตาเดียวหรือสองตา การระบาดจะน้อยกว่าตาแดงเชื้อไวรัส

3.       ตาแดงภูมิแพ้ มีอาการคัน น้ำตาไหล ขี้ตาสีขาวหรือเหนียว หนังตาบวม เป็นๆ หายๆ
ส่วนใหญ่จะไม่ปวดตามาก หรือตามัว ถ้าใครที่เป็นตาแดงมาก ตาฟ่ามัวมองไม่เห็น และมองสู่แสงไม่ได้ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษา อาจเสี่ยงเป็นต่อหิน ม่านตาอักเสบ ทำให้พิการทางสายตาได้
 
ส่วนการป้องกันโรคตาแดงทำได้โดย
-           ไม่ใช่มือสัมผัสตา
-           ไม่ใช่สิ่งของร่วมกับคนเป็นโรคตาแดง พวกผ้าเช็ดหน้า แว่นตา เครื่องสำอาง
-           ไม่สัมผัสตาผู้ป่วย
-           หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสบู่ทุกครั้งก่อนและหลังหยอดตา

ซึ่งโดยปกติแล้วโรคตาแดงไม่ได้ติดต่อกันง่าย ๆโดยการสบตา ถ้าไม่ไปสัมผัสน้ำตาหรือใช้สิ่งของของผู้ป่วยสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคตาแดงเมื่อรู้ว่าตนเองเป็นแล้วควรหยุดเรียนหรือหยุดทำงาน จนกว่าอาการจะหายเป็นปกติ ไม่ควรอยู่ที่ชุมชนอาจนำเชื้อโรคไปแพร่เชื้อได้

ส่วนการรักษานั้น ตามปกติตาแดงจากเชื้อไวรัส จะหายเองใน 2 สัปดาห์ แต่ถ้าประคบเย็นจะช่วยให้สบายตาขึ้น หรืออาจใช้ยากลุ่มฮิสตามีนหยอดวันละ 3 ครั้ง เพื่อลดการระคายเคืองตา เพราะโรคตาแดงนั้นเป็นเชื้อปฏิชีวนะอย่างหนึ่ง ต้องทำความสะอาดตา ขี้ตาบ่อยๆ ด้วยการหยอดยาฆ่าเชื้อทำการรักษาผู้ป่วยจึงไม่ควรขยี้ตา แต่หากมีอาการหนังตาบวมแดงควรเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ให้เสี่ยงกับการติดเชื้อหรือตาบอดนะคะ

รอบรู้โรคภัย มะเร็งปากมดลูก




เมื่อเอ่ยโรคมะเร็งถือเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตคนไปนักต่อนัก โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูก ถือเป็นแชมป์อันดับต้น ๆที่ค่าชีวิตผู้หญิงเป็นอันดับหนึ่งเลยทีเดียว สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสตัวหนึ่งที่ชื่อว่า HPV (Human Papilloma Virus) หรือภาษาบ้านเราจะเรียกกันว่า ไวรัสหูด ไวรัสตัวนี้จะสัมผันทางเพศสัมพันธ์ ที่ทำให้มีรอยถลอกของผิวหนังหรือเยื่อยุ

และเจ้าเชื้อไวรัส HPV จะเข้าไปในปากมดลูก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อและเซลล์ บริเวณปากมดลูกทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูก แถมเชื้อนี้ยังทนต่อความร้อน และความแห้งได้ดี สามารถเกาะติดตามอวัยวะเพศ เสื้อผ้า ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์มีความเสี่ยงติดเชื้อ HPV มาก แต่การติดเชื้อนี้มักหายได้เอง เพราะภูมิต้านทานของร่างกาย มีเพียง 10% เท่านั้นที่เชื้อยังติดอยู่สร้างความผิดปกติทางเยื่อบุปากมดลูก และทำให้เกิดมะเร็งในเวลาต่อมา ซึ่งผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งมีดังนี้

-           มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย
-           มีคู่นอนหลายคน หรือฝ่ายชายร่วมหลับนอนกับคู่หลายคน
-           คลอดบุตรหลายคน
-           การสูบบุหรี่
-           มีภาวะคุ้มกันต่ำ หรือเป็นโรคเอดส์
-           พันธุกรรมเป็น
-           มีสามีเป็นมะเร็งองคชาติ
-           มีสามีที่เคยมีภรรยาเป็นมะเร็งปากมดลูก

อาการที่กำเริบและการรักษา
ส่วนใหญ่จะพบผู้หญิงที่เป็นโรคมะเร็งช่วงอายุ 35-60 ปี มีอาการเริ่มแรกมักไม่แสดงอาการใดๆ แต่เริ่มแสดงออกเมื่อมะเร็งลุกลาม รักษายากแล้ว เช่น ตกเลือดทางช่องคลอด มีเลือดไหลออกมากระปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน ตกขาวมีกลิ่น มีเลือดปนหรือมีเลือดออกมาตอนมีเพศสัมพันธ์ ถ้ามะเร็งลุกลามอุ้มเชิงกรานจะปวดหลัง หรือหากลุกลามไปบริเวณอวัยวะส่วนใดจะปวดในบริเวณส่วนนั้น

มะเร็งจะแบบออกเป็น4 ระยะ
-           ระยะ0 หรือเริ่มแรก เซลล์ยังไม่กระจายมาก จะใช้วิธีการผ่าตัดเล็กเพียง 15 นาทีและตรวจติดตามอาการให้หาย 100 %
-           ระยะ 1 เซลล์มะเร็งอยู่ปากมดลูก ต้องผ่าตัดใหญ่ เลาะต่อมน้ำเหลืองในเชิงกราน ได้ผลประมาณ 80%
-           ระยะ 2 เซลล์มะเร็งกระจายนอกมดลูก ยังไม่ไกลมาก รักษาด้วยการฉายรังสี ให้เคมีบำบัด หรือที่รู้จักกันดีว่าคีโม ได้ผล 60%
-           ระยะ 3 เซลล์กระจายชิดเชิงกราน ใช้รังสีรักษาและเคมีบำบัด ได้ผล 30%
-           ระยะ 4 เซลล์มะเร็งกระจายชิดเชิงกราน รักษาด้วยการให้คีโม มีโอกาสรอดน้อยเพียง 5-10% เท่านั้น สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้เพียง 1-2 ปีจึงเสียชีวิต

นอกจากนี้ยังมีวัคซีนโรคมะเร็งปากมดลูก สามารถลดความเสี่ยงในการเป็นได้ 70%  วัยที่เหมาะสมคือ 9 ปีขึ้นไป จนถึง 26 ปี วัคซีนถึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นผู้หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้วอย่าลืมเข้ารับการตรวจคัดกรองเชื้อ มะเร็งปากมดลูกอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งนะคะ ไม่จำเป็นต้องกลัวหรืออายอะไรเลย เพราะหากช้า โรคภัยอาจมาทำร้ายคุณได้

สารพัดโรคผิวหนังติดเชื้อที่ควรรู้


ปัญหาผิวหนังเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่พบได้ทั่วไปกับมนุษย์อย่างเราๆ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวสลับร้อนและฝน ทำให้เกิดโรคไวรัสแพร่ระบาดได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นโรคอีสุกอีใส สามารถติดได้ทางเดินหายใจ หรือการใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกัน นอกจากนี้ยังมีโรคผิวหนังอีกหลายๆ โรคไม่ว่าจะเป็นโรคเริม โรคหัด โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ซึ่งหากแบ่งตามการติดเชื้อนั้นสามารถแบ่งได้ดังนี้

1.       โรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
ซึ่งพบได้มากคือแผลพุพอง มีการติดเชื้อชั้นหนังกำพร้า เพราะดูแลแผลทำความสะอาดไม่ดี ส่วนใหญ่เกิดกับเด็กเล็กเด็กน้อย ที่มีนิสัยชอบแกะ เกา ตามแขนขา หรือมีผื่นแดง กลายเป็นตุ่มน้ำใส พอแห้งตกสะเก็ดจะยิ่งคัน ถ้าเกามากๆ จะทำให้เกิดแผลอักเสบได้ ยิ่งถ้าเกิดบนศีรษะที่ชาวบ้านเรียกกันว่าชันนะตุ หากปล่อยไว้นานจะลุลามติดเชื้อ จะเข้าสู่กระแสเลือดได้ จึงต้องหมั่นดูแลรักษาทำความสะอาดแผลให้ดีๆ ด้วยการใช้ยาฆ่าเชื้อ Mupiroxin ไม่เกิน 10 วันก็จะหายเป็นปกติ

แต่ถ้าเป็นรูขุมขนอักเสบ เกิดผื่นแดง ตามหนวด รักแร้ เครา ส่วนใหญ่จะหายเอง ถ้าไม่เกิดการอักเสบ ฝี หรือตุ่มแดงมีหนองซะก่อน เพราะถ้าเป็นหนองแล้วต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ  Clindamycin ทาตรงแผลเพื่อให้แผลแห้งสนิทจนหายดี

ส่วนแผลบนผิวหนังแบบไฟลามทุ่ง ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในน้ำเหลือง แตกจากตุ่มแดงกระจายลามอย่างรวดเร็ว ต้องรักษาด้วยDicloxacillin ประมาณ 5-7 วัน ร่วมกับการประคบร้อน

และผิวหนังอักเสบ ที่เป็นผืนแดงกดแล้วเจ็บ พบมากกับผู้ป่วยเบาหวาน เป็นโรคอ้วน หรือติดสุราต้องใช้ยา Dicloxacillin ประมาณ 5-7 วัน ร่วมกับการประคบร้อนจนอาการหายดี ซึ่งควรอยู่ในความดูแลของแพทย์เพื่อป้องกันเชื้อแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด

2.       โรคผิวหนังเกิดจากเชื้อรา
ส่วนใหญ่เจ้าเชื้อรานี้จะชอบสิงสถิตกับที่ชื้นๆ อับ เช่นโรคกลาก บนลำตัว แขน ขา รักแร้ ขาหนีบ มันจะขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ มีขุยสีขาว และคัน ส่วนกลากที่ขึ้นตามง่ามเท้า หรือฮ่องกงฟุตน้ำกัดเท้านั้น แผ่นจะขาวยุ่ย หากลอกออกมาจะมีกลิ่นเหม็นมากส่วนใหญ่จะใช้การรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อ ทาบริเวณที่เป็นจนอาการหายและดีขึ้น
แต่หากเป็นเกลื้อนเชื้อราที่อาศัยในรูขุมขน จะได้ไขมันจากรูขุมขนเป็นอาหาร เมื่อร่างกายอ่อนแอภูมิต้านทานลดลงจะทำให้เกิดโรค มีลักษณะเป็นด่างขาว มีขุย พบมากบริเวณหน้า คอ อกและหลัง

3.โรคผิวหนังจากเชื้อไวรัส
ทำให้เกิดเชื้อในทุกระบบ รวมถึงติดเชื้อที่ผิวหนัง ปกติเมื่อร่างกายคนเรารับเชื้อไวรัสเข้าไปจะมีการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสอยู่แล้ว มีการปกป้องตนเองไม่ให้เป็นโรค แต่ตัวเชื้อจะหลบซ่อนอาศัยอยู่ในร่างกาย จนวันดีคืนดีภูมิต้านทานต่ำเชื้อไวรัสจะกำเริบขึ้นมา เช่นทำให้เกิดโรคเริม ถ้าอดนอนหรือทำงานหนัก มักเกิดบริเวณริมฝีปากหรือผิวหนังเหนือสะดือ แผลเริมจะเป็นตุ่มน้ำพองใสเล็ก ขึ้นเป็นกลุ่มเป็นแผลตื่นๆอยู่บนฐานสีแดงทำให้เจ็บและแสบมาก ปกติจะหายไปเองใน 10 วัน

ส่วนงูสวัดเป็นเชื้อไวรัสชนิดเดียวกันกับอีสุกอีใส แผลจะเป็นตุ่มใสบนฐานแดง ขึ้นชิดกัน เป็นหนองแห้งและตกสะเก็ดใน 10 วัน ส่วนที่ต่างจากอีสุกอีใสคือผื่นจะขึ้นตามแนวเส้นประสาท มีไข้ และอ่อนเพลียร่วมด้วย รักษาด้วยการรับประทานยา Acyclovir ตามแพทย์สั่ง

รวมถึงหูดก้อนที่ผิวหนังมีทั้งเรียบแบบขรุขระ สีขาวชมพูหรือน้ำตาล พบบ่อยตามแขน ขา รักษาด้วยการจี้ด้วยกรดซาลิไซลิก หรือจี้ด้วยไฟฟ้าหรือผ่าตัดออก

ทั้งหมดนี้คือโรคผิวหนังที่อาจเกิดขึ้นกับมนุษย์ได้ ไม่ว่าจะชนิดใดก็ตามล้วนเกิดอันตรายกับมนุษย์ไม่มากก็น้อย สิ่งที่เราควรทำคือหมั่นดูแลสุขภาพผิวหนังให้สะอาด หากมีแผลเป็นที่ผิวหนังมาก และลุกลามไปเรื่อยไม่ควรปล่อยไว้นานหรือรักษาด้วยตัวเอง ควรเข้ารับการรักษาจากแพทย์ทันทีนะคะ

โรคนิ่ว อันตรายอาจถึงตายได้


หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า นิ่วในไตและทางเดินปัสสาวะมาแล้วบ้าง เพราะโรคนี้พบผู้ป่วยทั่วโลก และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อย แม้แต่ในประเทศไทยก็เป็นกันเยอะ ซึ่งส่วนใหญ่จะพบได้บ่อยในผู้ใหญ่ที่อายุ 40 ปีอัพ และพบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เจ้าก้อนเนื้อเล็กๆ เท่าเม็ดทรายจะค่อยๆ สะสมจากตะกอนเป็นก้อนใหญ่ขึ้นลูกเท่ากอล์ฟ

สาเหตุการเกิดนิ่ว
คาดว่าเกิดจากหลายปัจจัยเสี่ยงด้านไม่ว่าจะเป็นด้านสิ่งแวดล้อม เมแทบอลิซึม พันธุกรรม วิถีการดำเนินชีวิต และอุปนิสัยการกินอาหารของตัวผู้ป่วยเอง เพราะสารก่อนิ่วที่อยู่ในปัสสาวะปกติจำพวก แคลเซียม ฟอสเฟต ออกซาเลต ยูเรต ฯลฯ เช่นคนที่มีโอกาสต้องสัมผัสอาการร้อน อาจทำให้สูญเสียเหงื่อมาก ยิ่งไม่ได้ดื่มน้ำเข้าไปหรือดื่มน้ำน้อย จะทำให้ปัสสาวะมีความเข้มข้นของแคลเซียมสูง ทำให้ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ หรือความผิดปกติทางไตได้

อาการที่พบ
หากเป็นนิ่วในไต จะทำให้รู้สึกปวดหลังในตำแหน่งไต เพราะนิ่วมันหลุดมาอยู่ในท่อไต และจะปวดรุนแรงขึ้น ปวดๆ หายๆ เหงื่อตก ปัสสาวะเป็นเลือด ทำให้ปวดหลังอยู่เรื่อยๆส่วนอาการของนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ จะทำให้ปัสสาวะขัด ถ่ายเจ็บ ไม่สะดวก ออกกะปริดกะปรอย หยดขุ่น ขาวเหมือนผงแป้งอยู่ อาจมีคล้ายกรวดทราบปนมากับปัสสาวะ ยิ่งถ้านิ่วไปอุดท่อทางปัสสาวะ จะทำให้ถ่ายไม่ออก

และพบว่าสามารถเกิดโรคแทรกซ้อนได้คือนิ่วจะแข็งเหมือนก้อนหินเล็กๆ หากเกิดไปเสียดสีของผนังของไตหรือท่อปัสสาวะ จนเกิดแผลและติดเชื้อแบคทีเรียจนปัสสาวะเป็นเลือดจะทำให้มีหนองออกมา

การรักษา
นิ่วในไต ถ้าตรวจพบระยะแรกๆ แพทย์จะแนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้นิ่วไม่ตกตะกอน หรืออาจใช้ยาร่วมด้วย ถ้านิ่วแข็งตัวเป็นก้อน ต้องใช้วิธีผ่าตัดร่วมด้วยค่ะ

ส่วนนิ่วกระเพาะปัสสาวะ
ถ้าเป็นก้อนเล็กๆ อยู่แพทย์จะแนะนำให้กินน้ำมากๆ ให้มันเคลื่อนหลุดออกมาให้ได้ หรืออาจกินเกลือฟอสเฟต จะช่วยให้นิ่วไม่จับตัวเป็นก้อนค่ะ แต่ถ้านิ่วก้อนใหญ่มาก อาจต้องใช้เครื่องช่วยในการผ่าตัดเข้าไปตามท่อปัสสาวะและคบให้ก้อนนิ่วแตก แต่ถ้าใหญ่มากเกินต้องใช้วิธีผ่าตัดเอาออกค่ะ

การป้องกันการเกิดโรคนิ่ว
ควรรับประทานน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว เพื่อจะได้มีปริมาณปัสสาวะมากกว่า 2 ลิตรต่อวัน เพื่อลดความอิ่มตัวของสารก่อนิ่วในปัสสาวะ และลดโอกาสการก่อผลึกนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะด้วยค่ะ

นอกจากนี้ควรลดอาหารจำพวกไขมัน ของหวานของเค็มเพราะมีกรดยูริกสูง เช่นพวกตับ ไต หนังไก่ และอาหารพวกงา ผักโขม ช็อกโกแลต โกโก้ นม ส้ม สับปะรด เพราะมีออกซาเลตสูง

สำหรับผู้ที่มีอาการปกติควรเข้ารับการรักษาหรือปรึกษาแพทย์ ผู้ที่เคยเป็นนิ่วแล้วมีโอกาสเป็นนิ่วได้อีก จึงควรดูแลร่างกายให้ดีๆ เข้ารับการตรวจจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อสุขภาพจะได้แข็งแรงและสมบูรณ์ค่ะ