รับมือกับโรคอีสุกอีใส



โรคอีกสุกอีใส ถือเป็นโรคยอดฮิตที่ระบาดมาในช่วงอาการเย็นๆ โดยเฉพาะฤดูหนาว ซึ่งโรคนี้จะไม่เลือกเพศและวัย ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็มีสิทธิติดเชื้อได้เช่นกัน ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส Varicella zoster virus และเป็นเชื้อชนิดเดียวกันกับโรคงูสวัด สามารถติดต่อได้ทางเดินหายใจ การไอ จาม หรือสัมผัสใช้ของร่วมกับผู้เป็นโรค โดยปกติอาการของโรคนี้จะหายประมาณ 2-3 สัปดาห์ สะเก็ดตุ่มก็จะหลุดร่วงออก

อาการของโรคอีสุกอีใส เริ่มแรกๆ จะมีไข้ต่ำ อ่อนเพลีย เบื่ออาหารสิ่งที่ชอบที่อยากทานก็ไม่อยาก ส่วนใหญ่จะมีอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัว และจะมีผื่นและเม็ดใสๆ ขึ้น จนเม็ดแตกจะเป็นสะเก็ดของแผลเป็น ตุ่มใสๆ นี้จะกระจายไปทั่วร่างกาย ไม่ว่าใบหน้า ลำตัว และจะมีอาการคัน 2-4 วัน บางคนเป็นในปาก ขึ้นลิ้น มีอาการเจ็บคอ ซึ่งผู้ใหญ่มักจะมีอาการรุนแรงกว่าเด็กเล็กมาก และเมื่อตุ่มหลุดตกสะเก็ดแล้ว เมื่อหายไป เชื้อจะหลบอยู่ตามปมประสาท ซึ่งสามารถเป็นงูสวัดภายหลังได้เช่นกันค่ะ

ผู้ป่วยจึงต้องระวังสุขภาพให้ดีๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อหรือโรคแทรกซ้อนบนผิวหนัง ทำให้เกิดแผลเป็นตามมา หรือเชื้อกระจายเข้ากระแสเลือด ทำให้เกิดภาวะโรหิตเป็นพิษปอดบวมได้ โดยเฉพาะผู้ใหญ่หากมีภูมิต้านทานต่ำ เชื้อไวรัสอีสุกอีใสนี้อาจกระจายรุกรามไปยังอวัยวะภายใน พวกปอด สมองและตับได้

ส่วนการรักษานั้น โรคนี้เป็นเองก็หายเองได้ เพราะจะมีไข้เพียงไม่กี่วัน จากตุ่มใสๆ ก็จะตกสะเก็ดและค่อยๆ หายไปใน 3 สัปดาห์ ในช่วงระยะที่ป่วยนี้ควรดื่มน้ำให้มากๆ หรือหากมีไข้ควรรับประทานยาพาราเซตามอล เพื่อลดอาการตัวร้อน แต่ไม่ควรรับประทานแอสไพริน อาจทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

นอกจากนี้ควรอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด พอกสบู่ฆ่าเชื้อ เพื่อไม่ให้สิ่งสกปรกปนเปื้อนในแผลและป้องการการติดเชื้อแบคทีเรีย หลีกเลี่ยงการแกะหรือเก่าตุ่ม ควรใช้วิธีชุบน้ำเกลือล้างแผลหรือทายาช่วยลดคันได้ ที่สำคัญควรระมัดระวังไม่ให้เชื้อแพร่ไปสู่ผู้อื่น ซึ่งระยะแพร่เชื้อนี้คือตั้งแต่ระยะ24 ชั่วโมงก่อนมีผื่นขึ้น จนกระทั่งถึงระยะ 6 วันหลังผื่นขึ้น จึงต้องดูแลตนเองให้ดีๆ ค่ะ พยายามตัดเล็บให้สั้น  ไม่แกะเกาตุ่มคัน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อหรือการติดเชื้อกลายเป็นตุ่มหนองได้

สำหรับใครที่ยังไม่เคยเป็นโดยเฉพาะเด็กเล็กๆ สามารถฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคอีสุกอีใสได้ หากอายุ 1-12 ปี ฉีดเพียงเข็มเดียวเท่านั้นแต่หากอายุ 13 ปีขึ้นไปถึงวัยผู้ใหญ่ อาจสร้างภูมิคุ้มกันได้ไม่ดีเท่ากับเด็กเล็ก จึงต้องฉีดเข็มห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน และต้องทำความเข้าใจด้วยว่า การฉีดวัคซีนนี้ไม่สามารถป้องกันการเกิดโรคได้ทุกคน จะป้องกันได้ร้อยละ 85-95 % เท่านั้น

ได้รู้จักโรคอีสุกอีใสและวิธีดูแลตนเองกันแล้วนะคะ อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือผู้ป่วยไม่ควรเครียดหรือวิตกกังวลกับงาน หรือแผลเป็นควรดูแลรักษาตนเองให้ดีๆ จนกว่าจะหายเพื่อป้องกันการติดเชื้อและไม่ให้เชื้อกระจายไปสู่ผู้อื่นนะคะ

ริดสีดวงทวารหนัก รู้ไว้ป้องกันได้



อาการปวดเจ็บแสบที่ปลายทวารหนัก จะลุกจะนั่งเมื่อไหร่ก็ร้องโอย  ทำให้คำว่า ก็ลมมันเย็นเป็นประโยคยอดฮิตติดหูหลายปีที่ผ่านมาที่ผู้คนใช้สื่อถึงผู้ที่เป็นโรคนี้ได้อย่างชัดเจน  ริดสีดวงทวารหนักเหมือนว่าจะเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงนัก แต่ก็สร้างความทรมานในการใช้ชีวิตปกติไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะอาการเจ็บแสบคัน มีติ่งเนื้อ หรือมีเลือดออกหลังการขับถ่ายซึ่งเป็นกิจวัตรที่เราต้องทำเป็นประจำในทุกๆวัน

อาการริดสีดวงทวารมีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับชนิด ตำแหน่ง และระยะของโรค
ระยะที่ 1 ผู้ป่วยจะมีเลือดออกเล็กน้อย ส่วนใหญ่ไม่ต้องรักษาเพียงนั่งแช่น้ำอุ่น ยาเหน็บ ยาทา รับประทานอาหารที่มีกากใย มากๆ เช่นทานกล้วย ตอนเย็นก่อนอาหารวันละ 2 ลูก ก็จะช่วยบรรเทารักษาอาการระดับนี้ได้

ระยะที่ 2 เวลาถ่ายจะมีเนื้อนิ่มๆ ยื่นออกมาซึ่งสามารถหดกลับเข้าไปได้ด้วยการขมิบ เลือดออกคล้ายระยะที่ 1 พบว่าจะมีอาการคันและมีมูกแฉะบริเวณทวารหนักด้วย วิธีการรักษาโดยการฉีดยาให้เนื้อเยื่อหดตัว หรือการรัดยางให้เนื้อเยื่อขาดเลือดและหลุดออกไปเอง ใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์

ระยะที่ 3 เมื่อเบ่งถ่ายแล้วมีติ่งเนื้อยื่นออกมา ต้องใช้มือดันกลับเข้าไประยะนี้การขมิบจะไม่ทำให้ติ่งเนื้อกลับเข้าไปได้ ระยะที่ 4 ติ่งเนื้อจะยื่นออกมาภายนอกได้ง่าย ไม่ว่าจากการนั่งยองๆ ไอ จาม หรือยกของหนัก ติ่งเนื้อนี้จะดันกลับเข้าไปข้างในได้ยากหรืออาจดันกลับไม่ได้เลย และบางรายอาจเป็นได้ 2-3 หัว

ระยะที่ 3 และ 4 จะใช้การผ่าตัดรักษา ซึ่งมีหลายรูปแบบ ทั้งแบบตัดต่อลำไส้เข้าไปข้างใน การตัดด้วยเลเซอร์ หรือเครื่องมือตัดอัตโนมัติและเย็บทันที ซึ่งวิธีการผ่าตัดขึ้นกับอาการ ขนาด ความรุนแรงและความชำนาญของศัลยแพทย์ 


แม้ว่าโรคริดสีดวงจะพบในกลุ่มคนที่มีอายุเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากมีผิวหนังที่หย่อนยาน กลุ่มอายุน้อยเองก็สามารถป้องกันไม่ให้เกิดลุกลามจนไปถึงขั้นต้องผ่าตัด โดยจะต้องลดภาวะความเสี่ยงต่างๆ เช่นพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อยทำให้เกิดภาวะท้องผูกเรื้อรัง ชอบเบ่งในเวลาขับถ่าย   ชอบนั่งอ่านหนังสือ หรือ เล่นโทรศัพท์ ทำให้ใช้เวลาในการถ่ายนาน ภาวะท้องผูกหรือริดสีดวงก็อาจพบได้กับผู้ที่ตั้งครรภ์เนื่องจากถ่ายอุจาระไม่สะดวก 

การป้องกันไม่ให้เกิดโรคริดสีดวงทวาร หรือ การดูแลตนเองหลังการรักษาไม่ให้เป็นอีก ทำได้โดย
·         เลือกรับประทานอาหารที่มีกากใยสูงจำพนวก ผัก ผลไม้ ธัญพืช กล้วย ข้าวโพด
·         ดื่มน้ำมากๆ วันละ 8-10 แก้ว
·         ลดอาหารมัน หรือลด ชา กาแฟ ในช่วงเวลาที่ท้องผูก
·         เลี่ยงการใช้ยาระบายมากเกินไป จนทำให้เกิดอาการท้องผูก
·         เลี่ยงการเบ่งอุจจาระรุนแรง การกลั้นอุจาระ หรือนั่งขับถ่ายเป็นเวลานานๆ
·         ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

ขอให้ทุกท่านโชคดี อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ

วัณโรค เชื้อร้ายสำคัญกว่าที่คิด

บนโลกใบนี้มีเชื้อโรคมากมายหลายชนิด ทั้งที่เกิดจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย โดยเชื้อทั้งสองมีทั้งหนักและเบา บางชนิดคร่าชีวิตคนไปนักต่อนัก อย่างเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Mycobacterium tuberculosis หรือเรียกย่อๆ ว่า TB รู้จักกันแบบบ้านๆ ว่าเชื้อวัณโรคนั่นเอง โดยเชื้อแบคทีเรียนี้ชอบอยู่ในที่ที่มีออกซิเจนมากๆ เช่นปอด สามารถทนอยู่ในอากาศได้นาน เข้าสู้คนโดยการหายใจรับเชื้อเข้าไป จึงพบได้บ่อยว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีการติดเชื้อที่ปอด 



โดยเชื้อ TB นี้จะกระจายจากผู้ป่วยด้วยการไอจาม แม้แต่การพูดคุย สามารถออกมาทางน้ำลาย ละออกเสมหะ และลอยในอากาศได้นานอีกด้วย ยิ่งถ้าอากาศถ่ายเทไม่ดี ไม่ค่อยมีแสง พวกตลาดสด โรงหนัง เครื่องบิน รถประจำทาง หากเราหายใจรับเชื้อเข้าไป จะทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย แต่ถ้าร่างกายเราแข็งแรงพอ ร่างกายก็จะสามารถควบคุมเชื้อวัณโรคด้วยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเราได้ แต่หากร่างกายอ่อนแอโดยเฉพาะคนแก่ หรือเด็กเล็กมีโอกาสได้รับเชื้อวัณโรคสูง โดยอาการของผู้ป่วยที่จะแสดงออกมามีดังนี้ค่ะ

-           ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง
-           เบื่อหน่ายอาหาร ทำให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
-           มีไขต่ำๆ หนาวสั้นคลั่นเนื้อคลั่นตัว
-           ในระยะเริ่มแรกที่รับเชื้อจะมีการไอแห้งๆ ออกมา
-           ต่อมาจะมีเสมหะ และไอมากๆ เวลาเข้านอน
-           มีอาการไอเรื้อรังนานกว่า 3 สัปดาห์ บางรายหอบและมีเลือดออกมาด้วย
-           หากมีการติดเชื้อในเด็กจะมีอาการรุนแรงกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากภูมิคุ้มกันยังน้อยอยู่
หากท่านใดมีอาการดังที่กล่าวมาข้างต้น เป็นระยะนานกว่า 2 สัปดาห์ และมีเสมหะปนเลือด หรือมีโรคประจำตัวพวก ไต เบาหวาน เอชไอวี ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย และทำการรักษาเพื่อไม่ให้อาการหนักเกินไปค่ะ

สำหรับผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคนั้น โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ต้องกินยาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน และต้องใช้ยาหลายขนาด มีหลายชนิดร่วมกัน เพื่อป้องกันการดื้อยา และไม่ให้การรักษาล้มเหลว จึงควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ โดยแพทย์จะแบ่งการรักษาเป็น 2 ระยะ
1.       ระยะเข้มข้น
ในช่วงสองเดือนแรก แพทย์จะให้ยาเม็ด เพื่อลดปริมาณการติดเชื้อในปอด และการแพร่กระจายเชื้อโรค
2.       ระยะต่อเนื่อง

หลังจาก 4 เดือนต่อมา ปรับตัวยาใหม่เพื่อกำจัดเชื้อวัณโรคที่เหลืออยู่ หากกินยาครบสูตรตามแพทย์สั่งจะสามารถรักษาวัณโรคได้ แต่ต้องทานยาอย่างต่อเนื่อง เพราะหากทานยาไม่ครบเชื้อวัณโรคจะมีพัฒนาการทำให้เกิดการดื้อยาได้ ทำให้ต้องรักษากันยาวนาน และอาจมีผลข้างเคียงกับการใช้ยามากขึ้นด้วยค่ะ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ หากพบว่าตนเองเป็นวัณโรค ควรได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะโรคนี้ลุกลามได้เร็วมาก อาจทำให้เสี่ยงต่อเด็กทารกในครรภ์และตัวมารดาเองได้

สิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาวัณโรคนี้คือผู้ป่วยต้องเคร่งครัดในการดูแลตนเอง ทานยาให้ครบตามแพทย์สั่งทุกเม็ดและทุกมื้อ ไม่ควรหยุดเองเป็นอันควร เพราะจะทำให้เชื้อวัณโรคดื้อยาได้ และควรมาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง เพื่อติดตามผลป้องกันโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ และผู้ป่วยเอง ควรเลิกดื่มสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะจะทำให้อาการของวัณโรคแย่ลงได้

แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยเป็น ควรรักษาร่างกายให้แข็งแรง อยู่ในอาการที่ถ่ายเท ถ้ามีอาการไอจามควรสวมผ้าปิดปากเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อกระจายสู่ผู้อื่น และควรรับการรักษาอาการให้หายเร็วที่สุดเพื่อให้ทุกคนปลอดภัยห่างไกลโรคค่ะ

รู้เท่าทันโรค สะเก็ดเงิน




ผิวหนังที่เคยเนียนเรียบ กลับหนาตัวขึ้น แถมมีลักษณะเป็นตุ่มหรือปื้นแดงๆ มีขุยและสะเก็ดขาวติดอยู่ สร้างความทุกข์ทรมานให้แก่ผู้เป็นไม่ใช่น้อย อาการดังที่กล่าวมานี้เป็นลักษณะของโรคสะเก็ดเงินนั่นเองค่ะ หรือที่รู้จักกันดีว่าโรคเรื้อนกวาง เป็นโรคที่เกิดการอักเสบบนผิวหนัง พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ต้นเหตุของการเป็นยังไม่แน่ชัด แต่พบว่าเกิดจากผู้ป่วยมีประวัติเป็นโรคสะเด็กเงินมาก่อน หรือได้รับการกระตุ้น ทำให้เครียด การสูบบุหรี่ บาดเจ็บผิวหนัง หรือเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน แต่ส่วนหนึ่งพบว่ามีรากฐานมาจากพันธุกรรม คือมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้มาก่อน และส่งต่อผ่านทางสายเลือด 

ซึ่งลักษณะของสะเก็ดแบ่งเป็น 4 ชนิด
1.ผื่นหนา โดยมีผื่นแดงหนา ชัดเป็นขุย มีสีขาวหรือสีเงิน พบได้บ่อยตามศีรษะ ลำตัว แขนขา ข้อศอกหัวเข่าบริเวณที่มีการเสียดสี
2. ผื่นขนาดเล็ก ลักษณะแดง คล้ายๆ หยดน้ำ 1 ซม . มีขุยผู้ป่วยมีประวัติติดเชื้อทางเดินหายใจมาก่อน
3. ตุ่มหนอง จะกระจายบนผิวหนังมีการอักเสบ ส่วนใหญ่เกิดจากการักษาไม่ถูกวิธี
4. แดงลอกทั้งตัว อาจเกิดจากขาดยาหรือมีปัจจัยไรมากระตุ้น



เมื่อคนไข้รู้ว่าตนเองเป็นโรคสะเก็ดเงินแล้ว จึงต้องทำความเข้าใจโรคนี้ให้ดีๆ ใส่ใจต่อสุขภาพผิว ไม่ออกแดดที่แรงจัด และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และควรได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ ส่วนการรักษานั้น หากเป็นไม่มากจะใช้ยาทาสเตียรอยด์ มีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เป็น ถ้าเป็นตามแขน ขา มือเท้า จะใช้ยารูปแบบขี้ผึ้ง แต่หากเป็นผื่นบางที่ใบหน้า ข้อพับ ไม่ควรใช้ขี้ผึ้งทา เพราะมีความรุนแรงเกินไป

ยิ่งถ้าเป็นบนศีรษะ ต้องใช้ยาน้ำ เพื่อให้ซึมเข้าสู่ศีรษะได้ดีกว่าชนิดอื่น ส่วนยาพวกฉีดหรือทานห้ามใช้กับผู้ป่วยสะเก็ดเงิน เพราะอาจเกิดตุ่มหนอง ผื่นทั้งตัวและรุนแรงกว่าเดิมได้ 

นอกจากนี้ยังมียาพวกวิตามินดี ลักษณะเป็นครีมใช้ทาบริเวณหน้า ข้อพับ หรืออวัยวะเพศได้ ส่วนผื่นที่หนังศีรษะ ใช้ยากลุ่มน้ำมันดิน เป็นแชมพู ช่วยรักษาอาการอักเสบได้เป็นอย่างดี แต่หาซื้อได้ยากต้องซื้อตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ และยังมียาละลายขุยให้ผิวนุ่ม มีส่วนผสมของกรดอยู่ แต่ถ้ารุนแรงเยอะ ต้องรักษาด้วยยาหรือฉายแสงอาทิตย์เทียมร่วมด้วย ซึ่งต้องให้แพทย์เป็นผู้ประเมินความเหมาะสมค่ะ นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน อาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง ระดับน้ำตาลในเลือดสูง อาจเป็นเบาหวาน และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันได้

ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินจึงควรดูแลตนเองให้ดีๆ ควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน หลีกเลี่ยงความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เกาเพราะจะทำให้เชื้อกำเริบและควรดูแลผิวให้ชุ่มชื่นอยู่เสมอ จงจำไว้นะคะว่าโรคสะเก็ดเงินไม่ใช่โรคติดต่อ หากมีความรู้และความเข้าใจ ดูแลสุขภาพให้ดีๆ ก็จะสามารถควบคุมโรคและกลับมาใช้ชีวิตที่ดีขึ้นได้ค่ะ

อัมพฤกษ์ อัมพาต 5 สาเหตุ 9 วิธีป้องกัน รู้ไว้ป้องกันได้

24 พ.ค. ของทุกปี ถูกตั้งให้เป็นวันอัมพฤกษ์ อัมพาตโลก หรือวันหลอดเลือดสมอง จัดตั้งขึ้นมาเพื่อประชากรโลกตื่นตัวต่อพิษภัยของโรคนี้ซึ่งกำลังเพิ่มขึ้นมากในสังคมปัจจุบัน  อัมพฤกษ์ อัมพาตนั้นมีสาเหตุหลักมาจากโรคหลอดเลือดสมอง และจากรายงานการวิจัย พ.ศ. 2547 พบว่าโรคหลอดเลือดสมองนี้เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับแรกของหญิงไทย และสำหรับชายไทยเป็นสาเหตุอันดับสองรองจากเอดส์ ทั้งยังพบอีกว่า ใน 400 คนจะเกิดโรคหลอดเลือดในสมอง 1 ราย ซึ่งหมายถึง 150,000 รายจากประชากรทั้งประเทศ หรือทุกๆ 4 นาทีจะมีผู้ที่เป็นโรคนี้ 1 รายและเสียชีวิต 1 รายในทุกๆ 10 นาที



โดยผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต จะมีอาการแขนขาอ่อนแรง ไปหนึ่งซีก แถมการมองเห็นลดลงคือเริ่มมองไม่ค่อยชัด อีกทั้งยังสูญเสียการทรงตัว มีอาการปวดหัวเฉียบพลันอย่างรุนแรง หากใครมีอาการสัญญาณเตือนดังที่กล่าวมา ควรเข้าพบแพทย์โดยด่วนไม่ควรเกิน 3 ชั่วโมงนะคะ เพื่อรักษาชีวิตและบำบัดฟื้นฟูให้กลับมาเป็นปกติหรือใกล้เคียงมากที่สุด ส่วนสาเหตุที่พบว่ามีความเสี่ยงก่อให้เกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตมีดังนี้

5 สาเหตุหลักของอัมพฤกษ์ อัมพาต

1.       การได้รับอุบัติเหตุ การกระแทกอย่างรุนแรงที่ทำให้สมองหรือประสาทไขสันหลังถูกทำลาย

2.       การอุดตันของหลอดเลือด จากการเสื่อมหรือการแข็งตัวของหลอดเลือด เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากอายุที่มากขึ้น เบาหวาน ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง

3.       การอุดตันของหลอดเลือด จากก้อนเลือด ตะกอนเลือด เกิดจากการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ ชนิดหัวใจห้องซ้ายบนเต้นพลิ้ว การเต้นของหัวใจที่บีบตัวไม่พร้อมกันทั้งห้อง

4.       ความดันเลือดลดลงมาก พบเพียง 1% ของผู้ป่วย ซึ่งอาจเกิดจาก การขาดเลือดจากภาวะหัวใจหยุดเต้น ภาวะช๊อคในผู้ป่วยติดเชื้อเข้ากระแสเลือด กินยาลดความดันเกินขนาด ความดันต่ำจากการเปลี่ยนอิริยาบถ เร็วเกินไป พบในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมานานและมีการเสื่อมของประสาทส่วนปลายด้วย หรือพบได้ในผู้สูงอายุที่รับประทานยาลดความอ้วน

5.       หลอดเลือดในสมองแตก ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง คือผู้สูงอายุที่มีความดันสูงมานาน มีภาวะเครียด เป็นเบาหวาน ดื่มเหล้า เบียร์ หรือสูบบุหรี่มาก



9 แนวทางป้องกัน

1.       งดสูบบุหรี่ บุหรี่จะลดการสร้างไขมันดีที่ช่วยลดการเกิดหลอดเลือดตีบ และสร้างไขมันเลวทำให้หลอดเลือดตีบเพิ่มมากขึ้น บุหรี่ทำให้หลอดเลือดแดงหดตัวและผนังหลอดเลือดเสื่อมและเกิดลิ่มเลือดได้ง่ายจากการได้รับคาร์บอนมอน็อกไซด์

2.       งดการดื่มแอลกอฮอล์จัด ซึ่งการดื่มมากเกินไปจะทำให้ความดันเลือดสูง บางรายพบการทำงานของหัวใจเสื่อมลงและอาจมีเต้นของหัวใจผิดปกติ

3.       ลดอาหาร หวาน มัน เค็มจัด น้ำตาลในเลือดสูงส่งผลให้เลือดมีความร้อนสูงขึ้นทำให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมเร็ว การทานมันชัดเจนที่ทำให้มีไขมันสะสมและอุดตันเส้นเลือด ความเค็ม ไม่ควรทานเกิน 1 ช้อนชาต่อวัน เพราะจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น

4.       ควบคุมน้ำหนัก ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อลดไขมันส่วนเกินในร่างกาย

5.       ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้นทำให้ลดภาวะหลอดเลือดแข็ง และยังช่วยทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง นอกจากนี้จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้น หัวใจเต้นช้าลง ไม่ทำงานหนัก ทั้งยังหลั่งสารอินซูลิน ทำให้อารมณ์ดีลดความเครียดอีกด้วย

6.       ควบคุมความเครียด เพราะความเครียดจะหลั่งฮอร์โมนไปเพิ่มความดันเลือดในร่างกาย ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น รวมทั้งผนังหลอดเลือดหดเกร็งอีกด้วย

7.       พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ลดภาวะเครียด และลดอุณหภูมิในร่างกายให้อยู่ภาวะปกติ

8.       ตรวจสุขภาพเป็นระยะ หากเราสามารถจ่ายเงินนำรถเข้าศูนย์ได้ เราเองก็ควรจะเข้าศูนย์ตรวจสุขภาพบ้างเช่นกัน

9.       รักษาอย่างจริงจัง เมื่อเป็นผู้ป่วยหลอดเลือดแล้วจะต้องรักษาอย่างจริงจังสม่ำเสมอ รับประทานยาตามแพทย์สั่งหรือไปพบแพทย์ตามเวลาที่นัดหมายไว้ เพื่อควบคุมให้อยู่ในสภาวะที่ไม่อันตรายอย่างต่อเนื่อง

โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาต สามารถป้องกันได้ ถ้าเข้าและดูแลสุขภาพร่างกายให้ดีๆนะคะ

ตับแข็งภัยร้าย คร่าชีวิต


ตับเป็นอวัยวะสำคัญที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายเสมือนโรงงานใหญ่ที่คอยจัดส่งอาหารต่างๆ ที่คนเรากินเข้าไป อีกทั้งมีหน้าที่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทำลายสารพิษออกจากเลือด สร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านเชื้อโรค และเผาผลาญสารต่างๆ ในร่างกายรวมทั้งอาหาร ตลอดจนสร้างน้ำดี และยังช่วยดูดซึมไขมันและวิตามินชนิดละลายในน้ำมันอีกด้วย แต่เมื่อตับป่วยถูกทำร้ายจนตับแข็งร่างกายไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ทำให้โรคร้ายนี้คร่าชีวิตคนไปนักต่อนัก

อาการของผู้ป่วยตับแข็ง แรกๆ จะท้องอืด ท้องเฟ้อ จึงไม่ค่อยรู้สึกตัวว่ามีความผิดปกติที่ตับ ต่อมาจะเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร อาหารที่เคยชอบทานก็ไม่อยาก จนทำให้น้ำหนักลดลง อีกทั้งยังมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ คลื่นไส้บางครั้งอาเจียน และอาจมีอาการบวมน้ำ ทำให้เกิดท้องมานตัวเหลืองเป็นโรคดีซ่านได้อีกด้วย และถ้าหากเกิดพังผืดดึงรั้งในตับ จะทำให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ เส้นเลือดจะขอดในหลอดอาหาร ทำให้อาเจียนออกมาเป็นเลือดได้ และอาจช็อกจนถึงขั้นเสียชีวิต

ส่วนสาเหตุที่เซลล์ตัวถูกทำลายนั้น พบบ่อยกับนักดื่มทั้งหลายที่ชอบดื่มเหล้าติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะแอลกอฮอล์ในสุรา หากดื่มมากเกินไปจะเข้าไปทำลายโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตในตัว ทำให้ตับอักเสบจนเรื้อรังจนกลายเป็นตับแข็ง รวมถึงการใช้ยาแก้ปวดลดไข้พาราเซตามอล ยาปฏิชีวนะเตตราไซคลีน หรืออาจเป็นเพราะเจ็บป่วยจากโรคบางอย่าง จนเกิดภาวะแทรกซ้อน ทำให้ตับแข็ง ไมว่าจะโรคเบาหวาน ทาลัศซีเมีย โรคอ้วน และภาวะขาดอาหารจนทำให้เกิดโรคตับแข็ง

โดยผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ เพราะเซลล์ตับถูกทำลายไปแล้ว แต่สามารถชะลอหรือหยุดการทำลายตับได้ หากดูแลตนเองดีๆ ไม่ปล่อยให้ภาวะแทรกซ้อนให้เกิดขึ้นกับชีวิต เช่นเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เน้นอาหารพวกแป้ง ผัก ผลไม้สด รับประทานอาการพวกโปรตีนเป็นประจำ เพราะร่างกายขาดโปรตีนและพลังงาน จึงเห็นได้ว่าผู้ที่เป็นตับแข็งร่างกายจะผอมแห้ง มีกล้ามเนื้อน้อย บางคนมีลักษณะหนังหุ้มกระดูกเลยก็ว่าได้



ดังนั้นจึงควรให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างเพียงพอ เน้นคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน แต่สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งและมีท้องมาน บวมน้ำ ควรลดอาหารเค็ม หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มปรุงรส พวกซีอิ้ว น้ำปลา ซอสปรุงรสต่างๆ และไม่ควรกินอาหารที่แปรรูป พวกหมูยอ ไส้กรอก เพราะมีสารโซเดียมเป็นส่วนประกอบในการผลิตอาหาร รวมถึงพวกขนมขบเคี้ยวต่างๆ ก็ไม่ควรรับประทานนะคะ ยิ่งสุรา ควรละเลิกอย่างเด็ดขาดเพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์ตับที่ยังดีอยู่ แข็งไปด้วย ทั้งนี้ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์เพราะตับเป็นแหล่มสะสมเปลี่ยนและเผาผลาญส่วนต่างๆ ถ้าตับเสียจะทำให้ขาดสารอาหารได้ค่ะ 

เป็นที่ทราบกันแล้วนะคะว่าตับแข็งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ สิ่งที่ดีที่สุด คือรู้จักดูแลสุขภาพตนเองและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะแอลกอฮอล์ และใส่ใจอาหารการกิน จะช่วยชะลอความรุนแรงของโรคได้ค่ะ

รู้ลึกเรื่องโรคโลหิตจาง

คุณเคยมีอาการเหล่านี้บางหรือไม่ ?   

 
   
 มีอาการอ่อนเพลีย ผิวซีด เหนื่อยมาก หัวใจเต้นเร็ว ไม่มีแรง หอบ ถ้าใช่คุณมีโอกาสเข้าใกล้โรคโลหิตจางแล้วค่ะ เพราะอาการเหมือนกันเด๊ะ โรคโลหิตจางหรือธาลัศซีเมีย นั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่นเกิดจากการทานยาบางชนิด หรือได้รับสารพิษสะสมในปริมาณมาก การขาดสารอาหารและการเผาผลาญบกพร่องหรือทำงานผิดปกติ  รวมถึงกำลังตั้งครรภ์ก็มีโอการที่จะแสดงอาการได้เช่นกันในกรณีนี้คุณแม่ตั้งครรภ์จึงได้รับวิตามินเสริม เช่น (Folic acid) เพื่อให้มีการสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการมีประจำเดือนก็อาจทำให้แสดงอาการด้วยเช่นกัน
 โรคโลหิตจางที่พบได้บ่อยคือ การขาดธาตุเหล็กทำให้ไม่มีปริมาณมากพอที่จะสร้างเม็ดเลือดแดง  ซึ่งกรดโฟลิก(Folic acid Deficiency)ในกรณีที่ขาดกรดโฟลิกส่วนมากพบได้ในผู้ป่วย โรคพิษสุรา และโรคลำไส้ และโรคนี้สามารถเป็นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายเลยค่ะสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้อีกด้วยอาการของโรคในกรณีรุนแรงผู้ป่วยจะมีอาการซีดมากต้องให้เลือดเป็นประจำสม่ำเสมอ หรือมีการเปลี่ยนถ่ายเลือด แต่ถ้าหากผู้ป่วยเกิดอาการตาซีดขาวมากหรือตาเหลืองผิดปกติ ปวดบริเวณชายโครงอาการรุนแรง มีไข้ ควรพบแพทย์ทันทีนะคะเพื่อการรักษาจะได้ทันท่วงทีค่ะ


 ซึ่งในประเทศไทยนั้นการเกิดโรคโลหิตจางอยู่ในปริมาณ 1 %  ของประชากรในประเทศส่วนใหญ่พบว่ามียีนแฝงที่เป็นพาหะของโรคอยู่ในประมาณถึง 40 %ของประชากรเลยที่เดียวซึ่งเมื่อผู้เป็นพาหะแต่งงานและมีลูก จะส่งผลต่อลูกด้วย คือลูกมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว 
ส่วนการรักษานั้นต้องทำการปลูกถ่ายไขกระดูกจากพี่น้องที่มีสายเลือดเม็ดเลือดขาวเดียวกันเท่านั้นและการปลูกถ่าย ขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วยด้วย ดังนั้นคู่รักคู่แต่งงาน ก่อนที่จะตั้งครรภ์ควรตรวจสุขภาพกันก่อนเพราะหากพบว่าคนใดคนหนึ่งเป็นโรคโลหิตจางอยู่ จะได้ทำการปรึกษาแพทย์เพื่อแพทย์ทำการวินิจฉัยต่อไป เพราะอาการของโรคโลหิตจางนั้นอาจเสี่ยงให้ทารกในครรภ์สามารถเสียชีวิตในครรภ์ได้ 
                  อาหารที่ควรรับประทาน อาหารที่มีธาตุเหล็ก ซึ่งมีอยู่ในอาหารประเภทอาหารทะเล เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ นม ไข่ ถั่วเหลือง และเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการดูดซึมที่ดีควรรับประทานคู่กับอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่นผักใบเขียว คะน้า พริก แครอท หรือผลไม้ เช่นฝรั่ง ส้ม น้ำเสาวรส และไม่ควรดื่ม ชา กาแฟ หลังมื้ออาหารเพราะจะลดการดูดซึมของอาหาร ไม่ควรออกกำลังหรือทำงานหนัก งดดื่มสุรา ร่างกายจะได้แข็งแรงสมบูรณ์ไม่เป็นโรคค่ะ

รู้ชัดเรื่องโรคไต


                คุณเคยมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นกับตัวเองบ้างหรือเปล่า? อาการปัสสาวะติดขัดถ่ายไม่สะดวก  ปัสสาวะเป็นเลือด  มีสีขุ่น บางครั้งปัสสาวะน้อยกว่าปกติ แถมมีอาการปวดตามกล้ามเนื้อ  และกระดูก ร้าวมาถึงบริเวณหลังและเอว อีกทั้งยังมีอาการบวมตามเท้า พอกดเข้าไปกลับมีรอยบุ๋ม รวมถึงมีอาการบวมตามดวงตาอีกด้วย หากคุณมีอาการดังที่กล่าวมาให้สันนิษฐานไว้เลยว่ามีโอกาสเป็นโรคไต แล้วค่ะ

                ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า “ไต” เป็นอวัยวะสำคัญในร่างกายมนุษย์ มีหน้าที่หลักคือกรองของเสียออกจากเลือด และขับออกมาพร้อมน้ำในรูปแบบปัสสาวะ และยังทำหน้าที่ปกป้องน้ำและเกลือแร่ของร่างกายอีกทั้งยังควบคุมความดันโลหิต และกระตุ้นการสร้างเมล็ดเลือดแดงอีกด้วย 

 

          ซึ่งปัจจัยเสี่ยงมีหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น เกิดจากกรรมพันธุ์หรือไตไม่เท่ากันมีไตข้างเดียวไตเป็นถุงน้ำดี และเกิดจากโรคแทรกซ้อนต่าง เช่นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคเกาต์  หรือเกิดจากการติดเชื้อของไตเอง  เช่น ไตเป็นหนอง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไตอักเสบ (จากเชื้อ โรค) นอกจากนี้ยังเกิดจากการอักเสบ เช่นโรคของกลุ่มเลือดฝอยของไตอักเสบ เกิดจากเนื้องอกที่ไต  และที่พบมากที่สุดเกิดจากการอุดตันจากมะเร็งท่อไตนิ่วอุดตันและ ต่อมลูกหมากโตนั่นเองค่ะ 

                ผู้ที่มีความเสี่ยงในการเป็นโรคไต ส่วนใหญ่เกิดจากอายุ 60 ปีขึ้นไป มีประวัติครอบครัวเคยเป็น หรือมีนิ่วในทางเดินปัสสาวะ อีกทั้งยังรวมถึงผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีเนื้องอกในไต ผู้ป่วยโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ และแพ้ภูมิตนเองด้วยค่ะ

       รวมถึงสาเหตุจากการกินและใช้ชีวิตประจำวันนั้นมีผลต่อการเกิดโรคมากที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่ชอบรับประทานอาหารรสเค็ม อาหารที่มีฟอสเฟตสูง จำพวก เนื้อสัตว์ ไข่แดง นม และเมล็ดพืชต่างๆ เช่น ถั่วลิสง เม็ดทานตะวัน เมล็ด อัลมอนด์ เนื่องจากอาหารเหล่านี้จะเร่งการเสื่อมของไต ทำให้ไตวายหรือเรื้อรังรุนแรงมากขึ้น และยังรวมถึงอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูงซึ่งแต่ละวันนั้นเราควรรับประทานไม่เกิน 300 มิลลิกรัม / วัน เช่น ไข่แดง นม  และ เครื่องในสัตว์ทุกชนิด 

                ดังนั้น การรักษาดูแลสุขภาพตนเองให้ดี จึงเป็นหนทางที่ดีกว่าการไปรักษาเมื่ออาการเกิดทีหลัง แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตแล้ว ควรเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะถ้าตรวจพบระยะแรกของการเป็นโรคก็จะทำให้การรักษาโรคง่ายขึ้น แต่ถ้าตรวจพบช้าก็รักษายากอาจต้องทำการตัดไตทิ้ง  รวมถึงหยุดยาซึ่งเป็นพิษต่อไต และควบคุมโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ความดันโลหิตสูง  โรคเบาหวาน   เนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้จะไปกระตุ้นให้เกิดโรคไตอักเสบได้ค่ะ

โรคความดันโลหิตสูงเพชฌฆาตเงียบที่พรากชีวิต


มีผู้คนจำนวนมากที่มีภาวะความดันโลหิตสูง โดยไม่ทราบว่าตนเองเป็นภาวะนี้อยู่ เพราะไม่ค่อยปรากฏอาการในในช่วงช่วงแรกๆ แต่พอปล่อยไว้นาน ๆ แบบไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี แรงดันในหลอดเลือดที่สูงจะทำลายผนังหลอดเลือดและอวัยวะที่สำคัญไปทั่วร่างกาย จนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ไม่ต่างอะไรกับหม้อต้มน้ำที่ปิดฝา มีน้ำเดือดปุดๆจนกระทั่งกระฉอกหกเลอะเทอะ หากไม่ระมัดระวังดูแลดีๆ สามารถทำร้ายเซลล์ผิวให้บอบบางเราได้เหมือนกัน

คำถามคือ แล้วความดันปกติ คือ เท่าไหร่ โดยทั่วไปแล้ว จะอยู่ที่ ไม่เกิน 120/80 มิลลิเมตรปรอท (ความดันขณะบีบตัวและดันเลือดออกจากหัวใจ / ความดันขณะหัวใจคลายตัว) ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ช่วงอายุเด็กและผู้ใหญ่

อายุ 3-5 ปี ความดันอยู่ช่วง 104-116/63-74
อายุ
6-9 ปี ความดันอยู่ช่วง 108-121/71-81
อายุ
10-12 ปี ความดันอยู่ช่วง 114-127/77-83

ส่วนความดันโลหิตของผู้ใหญ่ มีลักษณะดังนี้

ความดัน ไม่เกิน 120/80      ปกติ                                                        คำแนะนำ อายุเกิน 35 ปีให้หมั่นวัดความดันโลหิต
ความดัน
120-139/80-89   ค่อนข้างสูง                                             คำแนะนำ หมั่นวัดความดันโลหิตควบคุมอาหาร
ความดัน
140-159/90-99   มีอาการโรคความดันโลหิตสูง             คำแนะนำ พบแพทย์
ความดัน
160-179/100-109 มีอาการโรคความดันโลหิตสูง           คำแนะนำ พบแพทย์
ความดัน มากกว่า
180/110   อันตรายมาก                                      คำแนะนำ พบแพทย์ทันที


อาการโดยทั่วไป จะได้ยินเสียงดังในหู เหมือนมีเสียงอะไรอยู่ข้างใน อีกทั้งยังปวดศีรษะมากบริเวณท้ายทอย และยังมีอาการเวียนศีรษะ หงุดหงิดง่าย ขาบวมและรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าปกติอีกด้วย แต่ถ้ามีอาการหนักแบบปวดศีรษะและอาเจียนอย่างรุนแรง รู้สึกเจ็บอกและปวดขามากๆ แม้จะเป็นๆ หายๆก็ตาม หรือตาข้างหนึ่งสูญเสียการมองเห็นไปชั่วขณะ ต้องรีบเข้าพบแพทย์โดยด่วน เพราะอาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดในสมองตีบและนำไปสู่อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือขั้นรุนแรงอาจแตกนำไปสู่การเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ ควรได้รับการตรวจความดันทุกครั้ง เพื่อป้องกันอาการชักหรือคลอดก่อนกำหนดนะคะ

                ซึ่งการรักษานั้น แพทย์รักษาตามอาการ เช่นหากเป็นเนื้องอกก็จะผ่าตัดเนื้องอกออกเพื่อให้ความดันกลับมาสู่ปกติ แต่โดยส่วนใหญ่ มากกว่า
95% จะไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดซึ่ง อาจจะเกิดจากกรรมพันธุ์ถ้าพ่อแม่เป็นลูกก็มีโอกาสที่จะเป็นได้มากกว่า ลูกที่พ่อแม่ไม่เป็น นอกจากนี้ยังรวมถึงพฤติกรรมของผู้ป่วย หากชอบทานอาหารเค็ม หรือชอบสูบบบุหรี่ไม่ค่อยออกกำลังกาย หรือมีความเครียด แพทย์จะแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมควบคุมอาหารและรับประทานยาลดความดันอย่างต่อเนื่องค่ะ 
ส่วนการป้องกัน สามารถทำได้โดย

·         การควบคุมน้ำหนัก การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 2 ถึง 5 ครั้ง ซึ่งการออกกำลังกายแบบเบาเช่นทำความสะอาดบ้านจะเผาผลาญพลังงาน 120-150 กิโลแคลอรี่ แบบปานกลาง เช่น ขี่จักรยาน เต้นรำ เดินเร็วจะเผาผลาญ 185-230 กิโลแคลอรี่ ออกกำลังกายแบบมากเช่น เล่นฟุตบอล จ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำ จะเผาผลาญ 240-365 กิโลแคลอรี่ 

·         การลดการทานเค็ม โดยห้ามกินเกลือเกิน 1 ช้อนชาต่อวัน (โซเดียม 2400 มิลลิกรัม) เกลือเมื่อละลายในเลือด จะทำหน้าที่ดึงน้ำเข้ามาในกระแสเลือดทำให้ความดันสูง ทั้งยังทำให้ผนังกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายหนาขึ้นเป็นผลทำให้เกิดอันตรายจากหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วย

·         ไม่สูบบุหรี่ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มืนเมาทุกชนิด
·         จัดการความเครียด ผลการวิจัยจากสรรพสาร วงการแพทย์ ปี 2549 โดยคณะผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจออสเตรเลีย จากกลุ่มตัวอย่างชาย 1800 คน พบว่าผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีความเครียดมีภาวะเสียงหลอดเลือดช้ำเป็นอันตรายต่อชีวิตมากกว่าผู้ป่วยที่ไม่มีอาการเครียด มากถึง 43%

·         รับประทานอาหารที่มีคุณภาพ ประกอบไปด้วยผักผลไม้ ลดอาหาร หวาน มัน เค็ม

·         พักผ่อนให้เพียงพอ

·         ควรตรวจความดันอย่างสม่ำเสมอ สำหรับผู้ที่มีอายุเกิน 35 ปี  
ความดันโลหิตสูงสามารถป้องกันได้ถ้ารู้จักดูแลตนเองให้เป็นนะคะ อย่างไรซะขอให้ทุกท่านโชคดีสุขภาพแข็งแรง อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ แก่ทุกท่านค่ะ