มีผู้คนจำนวนมากที่มีภาวะความดันโลหิตสูง
โดยไม่ทราบว่าตนเองเป็นภาวะนี้อยู่ เพราะไม่ค่อยปรากฏอาการในในช่วงช่วงแรกๆ แต่พอปล่อยไว้นาน ๆ
แบบไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี
แรงดันในหลอดเลือดที่สูงจะทำลายผนังหลอดเลือดและอวัยวะที่สำคัญไปทั่วร่างกาย
จนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ไม่ต่างอะไรกับหม้อต้มน้ำที่ปิดฝา
มีน้ำเดือดปุดๆจนกระทั่งกระฉอกหกเลอะเทอะ หากไม่ระมัดระวังดูแลดีๆ
สามารถทำร้ายเซลล์ผิวให้บอบบางเราได้เหมือนกัน
คำถามคือ
แล้วความดันปกติ คือ เท่าไหร่ โดยทั่วไปแล้ว จะอยู่ที่ ไม่เกิน 120/80 มิลลิเมตรปรอท (ความดันขณะบีบตัวและดันเลือดออกจากหัวใจ / ความดันขณะหัวใจคลายตัว)
ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ช่วงอายุเด็กและผู้ใหญ่
อายุ 3-5 ปี ความดันอยู่ช่วง 104-116/63-74
อายุ 6-9 ปี ความดันอยู่ช่วง 108-121/71-81
อายุ 10-12 ปี ความดันอยู่ช่วง 114-127/77-83
อายุ 6-9 ปี ความดันอยู่ช่วง 108-121/71-81
อายุ 10-12 ปี ความดันอยู่ช่วง 114-127/77-83
ส่วนความดันโลหิตของผู้ใหญ่ มีลักษณะดังนี้
ความดัน ไม่เกิน 120/80 ปกติ คำแนะนำ
อายุเกิน 35 ปีให้หมั่นวัดความดันโลหิต
ความดัน 120-139/80-89 ค่อนข้างสูง คำแนะนำ หมั่นวัดความดันโลหิตควบคุมอาหาร
ความดัน 140-159/90-99 มีอาการโรคความดันโลหิตสูง คำแนะนำ พบแพทย์
ความดัน 160-179/100-109 มีอาการโรคความดันโลหิตสูง คำแนะนำ พบแพทย์
ความดัน มากกว่า 180/110 อันตรายมาก คำแนะนำ พบแพทย์ทันที
ความดัน 120-139/80-89 ค่อนข้างสูง คำแนะนำ หมั่นวัดความดันโลหิตควบคุมอาหาร
ความดัน 140-159/90-99 มีอาการโรคความดันโลหิตสูง คำแนะนำ พบแพทย์
ความดัน 160-179/100-109 มีอาการโรคความดันโลหิตสูง คำแนะนำ พบแพทย์
ความดัน มากกว่า 180/110 อันตรายมาก คำแนะนำ พบแพทย์ทันที
อาการโดยทั่วไป จะได้ยินเสียงดังในหู
เหมือนมีเสียงอะไรอยู่ข้างใน อีกทั้งยังปวดศีรษะมากบริเวณท้ายทอย และยังมีอาการเวียนศีรษะ
หงุดหงิดง่าย ขาบวมและรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าปกติอีกด้วย
แต่ถ้ามีอาการหนักแบบปวดศีรษะและอาเจียนอย่างรุนแรง รู้สึกเจ็บอกและปวดขามากๆ
แม้จะเป็นๆ หายๆก็ตาม หรือตาข้างหนึ่งสูญเสียการมองเห็นไปชั่วขณะ ต้องรีบเข้าพบแพทย์โดยด่วน เพราะอาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดในสมองตีบและนำไปสู่อัมพฤกษ์
อัมพาต หรือขั้นรุนแรงอาจแตกนำไปสู่การเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์
ควรได้รับการตรวจความดันทุกครั้ง เพื่อป้องกันอาการชักหรือคลอดก่อนกำหนดนะคะ
ซึ่งการรักษานั้น แพทย์รักษาตามอาการ เช่นหากเป็นเนื้องอกก็จะผ่าตัดเนื้องอกออกเพื่อให้ความดันกลับมาสู่ปกติ แต่โดยส่วนใหญ่ มากกว่า 95% จะไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดซึ่ง อาจจะเกิดจากกรรมพันธุ์ถ้าพ่อแม่เป็นลูกก็มีโอกาสที่จะเป็นได้มากกว่า ลูกที่พ่อแม่ไม่เป็น นอกจากนี้ยังรวมถึงพฤติกรรมของผู้ป่วย หากชอบทานอาหารเค็ม หรือชอบสูบบบุหรี่ไม่ค่อยออกกำลังกาย หรือมีความเครียด แพทย์จะแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมควบคุมอาหารและรับประทานยาลดความดันอย่างต่อเนื่องค่ะ
ส่วนการป้องกัน
สามารถทำได้โดย
·
การควบคุมน้ำหนัก การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 2 ถึง 5 ครั้ง ซึ่งการออกกำลังกายแบบเบาเช่นทำความสะอาดบ้านจะเผาผลาญพลังงาน
120-150 กิโลแคลอรี่ แบบปานกลาง เช่น ขี่จักรยาน เต้นรำ
เดินเร็วจะเผาผลาญ 185-230 กิโลแคลอรี่ ออกกำลังกายแบบมากเช่น
เล่นฟุตบอล จ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำ จะเผาผลาญ 240-365
กิโลแคลอรี่
·
การลดการทานเค็ม
โดยห้ามกินเกลือเกิน 1 ช้อนชาต่อวัน (โซเดียม 2400
มิลลิกรัม) เกลือเมื่อละลายในเลือด จะทำหน้าที่ดึงน้ำเข้ามาในกระแสเลือดทำให้ความดันสูง
ทั้งยังทำให้ผนังกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายหนาขึ้นเป็นผลทำให้เกิดอันตรายจากหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วย
·
ไม่สูบบุหรี่ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มืนเมาทุกชนิด
·
จัดการความเครียด ผลการวิจัยจากสรรพสาร วงการแพทย์ ปี 2549 โดยคณะผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจออสเตรเลีย จากกลุ่มตัวอย่างชาย 1800 คน
พบว่าผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีความเครียดมีภาวะเสียงหลอดเลือดช้ำเป็นอันตรายต่อชีวิตมากกว่าผู้ป่วยที่ไม่มีอาการเครียด
มากถึง 43%
·
รับประทานอาหารที่มีคุณภาพ ประกอบไปด้วยผักผลไม้ ลดอาหาร หวาน มัน เค็ม
·
พักผ่อนให้เพียงพอ
·
ควรตรวจความดันอย่างสม่ำเสมอ สำหรับผู้ที่มีอายุเกิน 35 ปี
ความดันโลหิตสูงสามารถป้องกันได้ถ้ารู้จักดูแลตนเองให้เป็นนะคะ
อย่างไรซะขอให้ทุกท่านโชคดีสุขภาพแข็งแรง “อโรคยา ปรมาลาภา” ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ แก่ทุกท่านค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น