โรคภูมิแพ้ เป็นภาวะภูมิคุ้มกันไวเกิน ไม่ว่าจะเข้าใกล้เกสรดอกไม้ หรือที่มีไรฝุ่น ขนสัตว์ มลภาวะ จะแสดงอาการออกมา แต่ละคนอาจไม่เท่ากัน แม้จะแพ้ชนิดเดียวกันก็ตาม บางคนอาจแพ้หนักถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือให้ทันถ่วงทีอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
โดยปกติส่วนใหญ่ที่พบเห็นผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้จะมี 4 โรค
-
โรคแพ้อาหาร
-
โรคภูมิแพ้ผิวหนัง
-
โรคแพ้อากาศ
-
และโรคหืด
โรคภูมิแพ้เป็นที่รู้จักกันมานาน พบได้บ่อยในเด็กๆ ไม่ว่าจะไอจาม หืดหอบ
หรือเกิดอาการผื่นคันตามเนื้อหนัง เรียกได้ว่าเป็นโรคที่ติดต่อทางพันธุกรรม
แต่ไม่ใช่โรคติดต่อกันภายในครอบครัวนะคะ ส่วนใหญ่จะถ่ายทอดทางเครือญาติสายตรง เช่น
พ่อ แม่ พี่ น้อง
นอกจากนี้ยังรวมถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่นนอนน้อย
หรือเปลี่ยนอุณภูมิเร็วเกินไปจากร้อนไปเย็นหรือเย็นไปร้อน
ทำให้ร่างกายปรับสภาพไม่ทันได้ หรืออยู่ในที่อับ ขนสัตว์เยอะ ต้นหญ้า
วัชพืชสปอร์จากเชื้อรามาก ก็กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ได้
อาการแพ้ของแต่ละคนจะรุนแรงไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับชนิด
และสารก่อภูมิแพ้เช่น
-
บริเวณตา อาจทำให้เยื่อบุตาอักเสบ ตาแดง
น้ำตาไหล หนังตาบวม
-
บริเวณจมูกอาจทำให้เกิด การจาม ตันจมูก
น้ำมูกไหล
-
บริเวณหลอดลม อาจทำให้เกิดการไอ
แน่นหน้าออก หอบ หายใจไม่สะดวก
-
บริเวณผิวหนัง อาจทำให้เกิดอาการคัน
ผดผื่นตามตัว มีเม็ดแดง ตกสะเก็ดได้
-
และบริเวณทางเดินอาหาร อาจทำให้อาเจียน
คลื่นไส้ ปากบวม ปวดท้อง ท้องอืดได้
ซึ่งวิธีการรักษาภูมิแพ้นั้น
ก็ไม่ยุ่งยากอะไรเลยเพียงทำตามดังนี้
1. หมั่นดูแลสุขภาพตนเองดีๆ
หลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่างๆ
ที่ทำให้แพ้ ดูแลร่างกายตนเองให้แข็งแรงสมบรูณ์ โดยเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5
หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับเพียงพอ
อยู่ในอากาศที่ถ่ายเทสามารถลดอาการแพ้ได้ค่ะ
2. ใช้ยาบรรเทาอาการ
ไม่ว่าจะเป็นยาต้นฮิสทามี สารสเตอรอยด์
เช่นยาแก้แพ้ แก้อาการคัดจมูก ขยายหลอดลม โลชั่นปรับผิว ลดการระคายเคือง ยาหยอดตา
ซึ่งการใช้ยาเป็นเพียงการรักษาที่ปลายเหตุเท่านั้น
ควรได้รับตามใบสั่งแพทย์ไม่ควรซื้อมาใช้หรือทานเองอาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้ค่ะ
3. ฉีดวัคซีนภูมิแพ้
เป็นการฉีดสารก่อภูมิแพ้
เพื่อสร้างภูมิต้านทานกับสิ่งที่แพ้ วิธีนี้จะใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการหนัก
ไม่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยา เป็นการฉีดป้องกันอย่างน้อย 1 ปีครึ่ง
ถ้าได้ผลมาฉีดกระตุ้นต่อเนื่องอีก 3-5 ปี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น