อยู่ให้เป็น เมื่อเป็นไมเกรน



ใครๆ ต่างต้องการมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงทั้งนั้น แต่โรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตของคนเราได้ เพราะสภาพร่างกายก็เหมือนรถยนต์ คือมีวันเสื่อมสภาพตามกาลเวลา และยิ่งไม่ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี อาการป่วยทรุดกว่าเวลาอันควรอาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งปกติแล้วอาการปวดหัวเป็นไข้ตัวร้อน อาจเกิดขึ้นกับทุกคนได้เช่นกันค่ะ แต่ถ้าปวดแบบจี๊ด ตึบเรื้อรังเดี๋ยวเป็นเดี๋ยวหาย จะสร้างปัญหาด้านจิตใจ และการใช้ชีวิตไม่ใช่น้อย

โดยเฉพาะอาการปวดขมับ มึน งง ปวดรามมาถึงเบ้าตา บางคราวอาเจียน หรือที่รู้จักกันในชื่อไมเกรน หรือลมตะกัง สร้างความทุกข์ทรมานไม่ใช่น้อย เพราะจะมีอาการปวดเกร็งตัวบริเวณบ่า ต้นคอ เพราะเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ หรือไปเลี้ยงสองทั้งสองซีกไม่เท่ากัน จึงทำให้เกิดการปวดศีรษะข้างเดียวขึ้น

โรคนี้จะมีอาการกำเริบเป็นครั้งคราว ยิ่งโดนกระตุ้นด้วยแสงแดด เสียงดัง กลิ่นควันบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรืออาการอดนอน อิ่ม จัด หิวจัด มีไข้ รวมถึงมีความเครียด จะกระตุ้นให้อาการปวดกำเริบขึ้น บางรายจะมีอาการเตือนก่อนปวด เช่นมีตาพร่า ตาลาย เห็นแสงสีรุ้ง เห็นดวงขาวๆ นำร่องมาก่อนแล้วจะหายไปจึงค่อยเริ่มอาการปวดขึ้นมาอีก

การรักษาไมเกรน
ควรทานยาบรรเทาปวดทันทีที่มีอาการไม่ปล่อยให้ปวดนานเกิน 30 นาที และควรพักผ่อนให้เต็มที่หลีกเลี่ยงอากาศอบอ้าว เสียงดังจัด และหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้อาการกำเริบ ลองสังเกตพฤติกรรมตัวเองดูนะคะว่าอาการปวดหัวนี้มักเป็นในช่วงแบบไหน เช่น เสียงดัง หรืออดนอน ถ้าหาเหตุกระตุ้นที่ทำให้อาการกำเริบเจอ จะได้หลีกเลี่ยงไม่เข้าไปใกล้สิ่งกระตุ้นเหล่านั้นค่ะ

เพราะหากเลือกหยุดอาการปวดไมเกรนด้วยการรับประทานยาบ่อยๆ อาจมีผลข้างเคียงกับกระเพาะอาหาร ตับ และไตได้ และหากเลือกใช้ยาระงับอาการปวดไปเรื่อยๆ อาจมีผลต่อตับทำให้ภูมิในร่างกายลดลง ทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาได้
ลองเปลี่ยนการรักษาเป็นการกดที่จุดเจ็บดีกว่าค่ะ เป็นการรักษาอาการที่ต้นเหตุ เพราะกล้ามเนื้อส่วนนี้หดตัวถ้าปล่อยไว้นานจนกล้ามส่วนนี้เกิดพังผืดเป็นวงกว้างและหนาขึ้น จะทำให้ต้องพึ่งยาแก้ปวดไมเกรนตลอด และอาการปวดไมเกรนจะหนักมากขึ้น

โดยกดลงบริเวณบ่าเพื่อคล้ายกล้ามเนื้อ กดกล้ามเนื้อที่แข็งนูนให้มีลักษณะนิ่มลงและเล็กลง และมาเน้นตรงศีรษะด้านบนตรงขมับ กดค้างไว้ลึก 10 วินาที แล้วปล่อยทำหลายๆ ครั้งจะหยุดได้แบบฉับพลัน แม้ว่าอาการนั้นจะลามมาปวดถึงบริเวณเบ้าตาก็ตาม

นอกจากนี้ลองหาที่แปะถุงเจลแช่เย็นมาแปะบริเวณหน้าผากเบ้าตา หรือรีบเข้านอนเร็วๆ เพื่อไม่ให้อาการกำเริบ ซึ่งเป็นวิธีรักษาแบบไม่พึ่งยา ซึ่งเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ เพราะจริงๆ แล้วนั้นโรคไมเกรนไม่ได้เกิดขึ้นในวัยเด็ก หรือถ่ายทอดทางพันธุกรรม ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกต่างๆ เช่น

อาหารที่กระตุ้นให้เกิดไมเกรน เช่น นม วัย เนย ช็อกโกแลต ไวน์ เบียร์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ ฯลฯ หรือช่วงที่เป็นประจำเดือนเพราะระดับฮอร์โมนเปลี่ยน รวมถึงสภาพร่างกาย อดหลับอดนอน เครียดทำงานหนัก อยู่หน้าจอคอมนานๆ ออกกำลังกายมากเกิน หรืออยู่ในสภาวะแวดล้อม แบบร้อนจัดไปเป็นหนาวจัด กลิ่นบุหรี่ กลิ่นน้ำหอม รวมถึงการใช้ยาและสารเคมีบางชนิดกระตุ้นให้ปวดหัว พวกยาไซนัส ยาอักเสบ ยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก

จะเห็นได้ว่าปัญหาไมเกรนส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมที่ผิดไปจากธรรมชาติ และเกิดจากสภาวะแวดล้อม ดังนั้น สำหรับคนที่อยากมีสุขภาพดีแล้วควรให้ความเอาใจใส่กับสุขภาพตนเอง พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด และไม่เข้าไปอยู่ในปัจจัยเสี่ยง แต่หลายคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมคนยุคนี้เปลี่ยนไป ทำให้ปวดหัวไมเกรนบ่อยๆ บางคนเลือกหาวิธีธรรมชาติบำบัด ดื่มน้ำสะอาดเพื่อปัสสาวะบำบัด ฝังเข็ม ดีท็อกซ์ ล้างพิษตับ นั่งสมาธิฯลฯ อย่างไรซะก็ถือว่าเป็นการดูแลสุขภาพตนเอง แต่ควรดูแลอย่างสม่ำเสมอนะคะเพื่อที่อาการจะได้ไม่กำเริบกลับขึ้นมาอีก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น